Monday, December 26, 2011

อดีต...จะไปยึดติดมันทำไม

ความรัก


อดีต...จะไปยึดติดมันทำไม (อักขระบันเทิง)

เขียนโดย : หนุ่ม ทัศนัย

          เรา ทุกคนล้วนมีอดีตที่เคยผ่านมา บางเรื่องน่าจดจำ...แต่บางเรื่องก็ไม่ แน่นอนว่าสำหรับอดีตที่ไม่น่าจดจำ เราไม่สามารถลืมมันได้โดยง่ายซะทีเดียวหรอก เพราะอิทธิพลของเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายนั้น มันฝังแน่นในหัวใจมากเสียจน "ไม่อาจลืม"

          บางคนมีอดีตเรื่องความรัก
          บางคนมีอดีตเรื่องครอบครัว
          บางคนมีอดีตเรื่องการใช้ชีวิตที่เกิดผลเสียกับตัวเอง ฯลฯ

          แน่นอนว่าวันเวลา สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่มันก็เท่านั้นแหละ มันไม่สำคัญมากไปกว่าหัวใจของเรา ที่สามารถทำใจและยอมรับกับสิ่งที่ผ่านมาได้จริง ๆ หรอก

          คนบางคน นึกถึงแต่เรื่องราวในอดีต ฝังใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จนไม่เป็นอันใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ก้าวหน้าไปไหนได้ แล้วเวลาก็เดินไปอย่างไม่รีรอเสียด้วย มารู้สึกตัวอีกที เวลาของเราอาจเหลือไม่มากพอ ที่จะทำเรื่องดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองอีกต่อไปแล้ว

          คน เราต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ลืมอดีตและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่น่าจดจำออกไป และทำสิ่งที่อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะการทำชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุดนั้น มันจะก่อให้เกิดความทรงจำดี ๆ ของเราในอนาคต ที่เราจะรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้นึกถึงมัน

          อดีต...ก็คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
          ปัจจุบัน...คือสิ่งที่ยังอยู่กับเรา

          ลองนึกดูดี ๆ เถอะนะ...ว่าเราอยากจะอยู่กับสิ่งไหนมากกว่ากัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://women.kapook.com/view35433.html


หนังสือ : ฟาร์มสุข

Thursday, December 22, 2011

8 เคล็ดลับสร้างความสุขให้ตัวเองในเทศกาลวันหยุด

8 เคล็ดลับสร้างความสุขให้ตัวเอง



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปีใหม่กันแล้วนะคะ นอกจากจะเป็นเทศกาลแห่งความสุขแล้ว ยังเป็นเทศกาลแห่งวันหยุด (ยาว) อีกด้วย ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ มีแผนที่จะปาร์ตี้ เฉลิมฉลอง หรือทำกิจกรรมอะไรกันบ้างเอ่ย? เอาอย่างนี้...ไหน ๆ ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขทั้งทีแล้ว วันนี้เราได้นำเคล็ดลับสร้างความสุขให้ตัวเองจาก pickthebrain.com เขียนโดย แฟร้งค์ รา มาบอกเล่าเก้าสิบกันค่ะ

1. อยู่กับปัจจุบันและยอมรับมัน

           ความสุขที่แท้จริง เกิดขึ้นจากตัวเราและสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน จงพอใจกับสิ่งที่มีในวันนี้และไม่ต้องกังวลกับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเมื่อเรามีความสุขแล้ว ก็จงเป็นผู้ให้และแบ่งปันสิ่งดี ๆ นั้นแก่คนรอบข้าง แล้วจะรู้สึกว่าความสุขที่เรามีนั้นเมื่อได้แบ่งปันให้กับคนอื่น ความสุขนั้นจะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิม ที่สำคัญรู้จักยอมรับในสิ่งที่คนอื่นเป็น เพราะเขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ยอมรับในตัวตนของเขา แล้วพวกเขาก็จะยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเหมือนกัน

2. คิดถึงสิ่งดี ๆ มากขึ้น

           จินตนาการถึงสิ่งที่คุณอยากเป็นและอยากทำ แทนการคิดถึงสิ่งที่คุณอยากจะวิ่งหนีออกจากมันได้แล้ว มันจะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งคือ อยากให้ลองคิดบวก เพราะมันจะทำให้มองโลกในแง่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่มองอะไรติดลบ แล้วสิ่งนี้จะทำให้คุณมีทัศนคติในการมองคนที่ดีขึ้นด้วย

8 เคล็ดลับสร้างความสุขให้ตัวเอง

3. ชาร์จแบตให้กับตัวเอง

           บางคนเลือกที่จะหากิจกรรมทำร่วมกันเป็นกลุ่มหรือสังสรรค์ด้วยกัน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับตัวเอง แต่ในขณะที่บางคนอาจจะเลือกการเติมเต็มพลังให้ตัวเองด้วยการพักผ่อนแบบเงียบ ๆ คนเดียว อยู่กับธรรมชาติและสถานที่อันเงียบสงบ แล้วนอนอ่านหนังสือหรือเอนตัวนอนพักในสวนสาธารณะและดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบ กาย ชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้นได้เลย

4. หาเวลาเรียนรู้และใกล้ชิดกับคนอื่นให้มากขึ้น

           ช่วงเวลาแห่งวันหยุดและความสนุกในชีวิต สำหรับบางคนอาจจะมีไม่บ่อยนักในแต่ละปี เมื่อถึงเวลาพักก็ควรหาโอกาสที่จะทำความรู้จักกับคนที่เราเคยรู้จักแค่ ผิวเผินให้ดีขึ้น หรือใกล้ชิดกับครอบครัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะได้เห็นพวกเขาในมุมที่แตกต่างก็เป็นได้

5. หยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น

           คนเรามักรู้สึกมีความสุขเวลาที่เป็นผู้รับอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ทีนี้เราอยากให้ลองเปลี่ยนมาเป็นผู้ให้ดูบ้าง แล้วคุณจะรู้สึกถึงของสุขการเป็นผู้ให้นั้น ทำให้เรามีอิ่มเอมใจมากกว่าการเป็นผู้รับ ลองหยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นและสังคมดู ด้วยการเป็นอาสาสมัคร ทำประโยชน์ให้แก่สังคม แล้วคุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ากับใคร ๆ มากขึ้น

8 เคล็ดลับสร้างความสุขให้ตัวเอง

6. กินอาหารที่มีประโยชน์

           เทศกาลวันหยุดนั้นเป็นเสมือนช่วงเวลาในการเติมพลังงานให้กับร่างกาย ซึ่งคุณควรจะเลือกรับประทานอาหารแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ เพื่อให้ระบบภายในร่างกายไม่ต้องทำงานหนักมากจนเกินไป คุณสามารถทำอาหารทานเองได้ โดยเลือกใช้เครื่องปรุงและส่วนผสมที่ดีมีคุณค่า เช่น ทานผักสด ผลไม้ หาเครื่องดื่มอย่างชาสักแก้ว จิบเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์

7. ออกกำลังกาย

           หาเวลาไปออกกำลังกาย เดิน วิ่ง สูดอากาศบริสุทธิ์ หรืออาจจะเลือกกีฬาหรือกิจกรรมอะไรก็ได้เพื่อเรียกเหงื่อและกระตุ้นให้เลือด ได้สูบฉีดกันบ้าง เช่น เข้ายิม เล่นโยคะ พิลาทีส (การบริหารร่างกายอย่างหนึ่ง โดยการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ นุ่มนวล ลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติ) เป็นต้น นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ ๆ จากการออกกำลังกายอีกด้วย เพราะการออกกำลังกายหลาย ๆ คน ก็เป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งนะ

8 เคล็ดลับสร้างความสุขให้ตัวเอง

8. ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ

           เมื่อคุณอยู่ในที่เงียบ ๆ ที่รู้สึกถึงความสงบสุข ให้จับส่วนไหนของร่างกายก็ได้เบา ๆ แล้วโฟกัสไปที่ลมหายใจของเราเอง หากเมื่อไหร่ที่มีสิ่งใดมารบกวนจิตใจเรา ก็ให้เราลองจับส่วนนั้นของร่างกายดูอีกครั้งแล้วทำแบบเดิมเพื่อเรียกสมาธิ คืนมา คุณจะรู้สึกว่า ความสงบสุขยังอยู่ที่นั่น มันอยู่ตรงนั้นเสมอไม่ไปไหน เพียงแค่ปล่อยให้จิตใจตัวเองให้เป็นอิสระ จากสิ่งรบกวนภายนอก แล้วเราจะรู้สึกสงบได้เอง

           เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับสร้างพลังแห่งความสุข ที่เรานำมาฝากกัน ไม่ยากเกินไปใช่มั้ยคะ จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เราทำได้ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่บางครั้งเรามองข้ามมันหรืออาจจะคิดอะไรที่มันยากเกินไป อย่างที่ได้กล่าวไปว่า ความสุขสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นช่วงวันหยุดที่กำลังใกล้เข้ามานี้ ลองใช้เวลาผลิตความสุขภายในใจ ให้เบ่งบานผลิดอกออกมาต้อนรับปีใหม่อันสดใสกันดีกว่าค่ะ

Wednesday, December 21, 2011

ขอแค่รู้จักยอมรับในความแตกต่าง

ความรัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แน่ นอนว่าเมื่อคนสองคน ต่างที่มา ต่างพื้นเพ ต่างครอบครัว ต้องมารักกัน...มาเป็นคู่รักกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องปรับเปลี่ยนนิสัย การใช้ชีวิต หรืออะไรบางอย่างในตัวเอง เพื่อทำให้คุณทั้งคู่เดินจูงมือไปถึงจุดหมายปลายทางที่วาดไว้ และเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า เพราะอะไรคุณพ่อ คุณแม่ ถึงมีรักที่ยืนยาวกว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกท่านอาจจะมีทะเลาะเบาะแว้ง มีปากเสียง ขัดใจกันเบา ๆ บ้างในบางครั้ง

          อันดับแรกคือ “ความอดทน” ที่ดูเหมือนว่าความอดทนในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของใครบางคนก็สั้นซะเหลือเกิน อะไรนิดหน่อยก็ “บอกเลิก” ทั้ง ๆ ที่ในใจจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั่นเท่าไหร่ แต่ด้วยเพราะใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เอาแต่ใจตัวเอง โดยที่ไม่สนใจเหตุผลและความเป็นจริงอื่น ๆ

          และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การรู้จักยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน” เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกรักใครสักคน อยากให้เขาหรือเธอเข้ามาใช้พื้นที่หัวใจร่วมกัน นั่นแสดงว่าคุณต้องเริ่มพยายามทำความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของอีก ฝ่ายด้วย อย่าลืมว่าไม่มีใครจะได้อะไรดั่งใจหวังไปซะทุกเรื่อง...ทุกอย่าง คู่รักที่แตกต่างกันสุดขั้วบางคู่ แต่กลับอยู่ด้วยได้ได้ยาวนาน เพราะพวกเขารู้จักยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน

          เพียงเท่านี้...ถึงความรักของคุณจะมีสีเทาบ้าง แดงบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าอย่างไรซะสีชมพูหวานแหววก็ต้องเจิดจ้ากว่าสีไหน ๆ ขอแค่คุณทั้งคู่รู้จักยอมรับในความแตกต่างเท่านั้นเอง

Monday, December 19, 2011

ความรักไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แค่รักให้เป็น

ความรัก


ความรักไม่ใช่เรื่องน่ากลัว (อักขระบันเทิง)

          ความ รักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มนุษย์เราจะมีคุณค่าก็เมื่อรักเป็น รักเป็น...ในความหมายของคนสองคนนั้นไม่เหมือนกัน รักเป็น...ในความหมายของแต่ละคนในโลกก็ไม่เหมือนกัน

          มุมที่มองรักนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของคนแต่ละคน ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจความรัก การตีความ การมองความหมาย วิธีการ ของแต่ละคนด้วย แต่ที่ดีที่สุดสำหรับคนมีความรักคือ อยู่กับรักอย่างมีความสุขและเข้าใจ เราเลือกที่จะหายไป หรือยังอยู่ในความทรงจำได้ เราเลือกได้ เริ่มต้นที่ความคิดของเรา เริ่มต้นได้ด้วยการจัดการกับความคิดและความเข้าใจของเราเอง

          ใน ชีวิตของคนเรานั้น เราจะเลือกอะไรก็ได้ทั้งสิ้น เงื่อนไขและปัจจัยผันแปรเราไปจากเป้าหมายนั้น เป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาหลอกใจของเราทั้งสิ้น ที่จริงทุกเรื่องในชีวิตนั้นเลือกได้ เพียงแต่เราต้องกล้า และเอาจริงกับชีวิต ทุกสิ่งในชีวิตนั้นทำได้ เป็นไปได้ แค่เราต้องลงมือทำและทำจริง แค่นั้นเอง

          อย่าได้สงสัยเวลาเห็นใครทำอะไรแปลก ๆ

          อย่าได้ตื่นตระหนกตกใจเวลาเห็นคนอื่นเป็นในแบบที่ไม่เหมือนใคร

          อย่าได้ตาโตประหลาดใจเวลาที่เห็นใครตัดสินใจอะไรในชีวิต ไม่เหมือน ไม่เป็น อย่างที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น

          1 + 1 ใช่ว่าจะได้ 2 เสมอไป เราแค่คิดไปเองและเชื่อไปเองมากกว่า

          อาการ "คิดไปเอง" เป็นความร้ายกาจเบื้องต้นของการก้าวไปข้างหน้าคิดไปก่อน ก็ทุกข์ไปก่อน กังวลไปก่อน ก็เสียเวลาสบายใจ เสียคืนวันที่จะได้เดินชีวิตอย่างมีความสุข อะไรจะเกิดมันต้องเกิดอยู่แล้ว อะไรจะเป็นมันต้องเป็นอยู่แล้ว เราฝืนอะไรไม่ได้ แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ ควรทำ และเลือกที่จะทำ ให้ดีที่สุด สุดฝีมือก็เท่านั้น

          อาการ "เชื่อไปเอง" มันจะทำให้ความคิดชะงัก ปิดเส้นทางของการเรียนรู้ เมื่อเชื่อไปเองเสียแล้ว เส้นทางเรียนรู้ก็น้อยลง ที่น่าสนใจคือ คนบางประเภทบนโลกใบกลมนี้เป็นคนประเภทคิดไปเองก่อนแล้ว เชื่อไปเองจนจบกระบวนการของความคิดแล้ว ยิ่งถ้าหากมีใครมาทัดทาน ยิ่งไม่ฟัง และเชื่อความคิดเก่า ๆ จะยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น

          เรา เลือกที่จะหายไปและจะยังมีอยู่ในชีวิตของกันและกันได้ เราเลือกที่จะให้คนที่เรารัก คนที่เราอยากผูกพันอยู่ หรือหายไปจากชีวิตของเราได้เช่นกัน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเราจะวางตำแหน่ง วางความรู้สึก วางความผูกพันไว้แบบใด เราจะมองให้ตัวเองและความรู้สึกของเราจนมุมก็ได้ หรือเราจะเลือกมุมมองที่ทำให้ตัวเองสบายใจ และเดินชีวิตต่ออย่างมีชีวิตชีวาก็ได้

          ทุกอย่าง นั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับสติในการดำรงชีวิต และเดินชีวิต ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งและสู้เสมอของหัวใจของเรานี่เอง ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย

http://women.kapook.com/view35233.html

Saturday, December 17, 2011

ความรัก..หากยึดติดกับสิ่งเดิม อาจพลาดโอกาสดี ๆ

ความรัก


หลุมพรางที่ความคิดเป็นผู้ขุด (อักขระบันเทิง)

เขียนโดย หนุ่ม-ทัศนัย

          สมัย ทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านวิดีโอช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เราพบเจอลูกค้ามากมายสารพัดแบบ สารพัดอาชีพ สารพัดนิสัย นอกจากความอดทนที่ได้ฝึกฝน เรายังได้เรียนรู้ลักษณะของคนประเภทต่าง ๆ โดยสังเกตจากการเลือกหนังเพื่อเช่าไปดู และความเอาแต่ใจ เมื่อไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการขณะชำระเงิน

          มีลูกค้าบางคนให้เราแนะนำหนังอะไรก็ได้ที่ดูแล้วสนุก เราแนะนำหนังไทยเรื่องหนึ่งไป ซึ่งมันก็เป็นหนังที่ดีจริง ๆ ในความคิดของเรา และลูกค้าอีกหลายคนที่เช่าไปก็คิดเหมือนกัน แต่ลูกค้าคนนี้บอก “ไม่เอา ดูหนังไทยเสียเวลา หนังฝรั่งได้อารมณ์กว่า” เราคิดในใจว่า ถ้าคิดแบบนั้นแล้วให้แนะนำทำไม สุดท้ายเขาก็เช่าหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งไปดู ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเคยเช่าดูไปแล้วด้วย

          ลูกค้า บางคนเป็นสมาชิกเก่าแก่ เช่ามานานตั้งแต่ร้านเปิดใหม่ ๆ ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าลูกค้าคนอื่น เช่น เช่าได้ครั้งละหลายแผ่น แต่ความจริงอย่างหนึ่งก็คือ มีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานเรื่อย ๆ ไม่มีทางที่พนักงานใหม่จะรู้ทันทีว่า ใครคือลูกค้าพิเศษ ลูกค้าเก่าแก่ เมื่อถึงเวลาที่ลูกค้าเก่าแก่เหล่านั้นเดินมาชำระเงินที่เคาน์เตอร์ แล้วพบว่าพนักงานใหม่ท้วงติงเรื่องสิทธิต่าง ๆ ตามกฎระเบียบของร้าน ก็เกิดอาการกระฟัดกระเฟียด ไม่พอใจ ฉันเป็นลูกค้าชั้นดี ถือดียังไงมาสงวนสิทธิ์ ทั้งที่จริง ตัวเขาเองก็ไม่คุ้นหน้าพนักงานใหม่คนนี้อยู่แล้ว บอกกล่าวกันดี ๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา ไม่รู้จะยึดติดกับสิทธิและตัวตนอะไรกันมากมาย ในที่สุด ผู้จัดการร้านก็ต้องออกมาอธิบายความ

          ไม่ว่าคุณหรือใครจะมีความพิเศษในเรื่องใด สิ่งหนึ่งที่ต้องนึกไว้เสมอคือ ทุกคนไม่ได้รู้จักคุณทั้งหมด หากอยากให้คนอื่นรู้จัก ต้องพูดจาดี ๆ และทิ้งตัวตนบ้างในบางครั้ง

          บางทีคนเราก็ยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย คนบางคนยึดติดกับตัวตน ฉันเป็นแบบนี้ ระดับนี้ สมควรได้รับแบบนั้น หากไม่ได้ฉันไม่ยอม ทำไมไม่มีความยืดหยุ่นกับชีวิตในบางสถานการณ์บ้าง บางคนก็ยึดติดอยู่กับสิ่งเดิม ไม่ยอมสัมผัสกับสิ่งใหม่ ทั้งที่ความใหม่นั้น อาจดีกว่าสิ่งเดิมที่เราสัมผัสอยู่ก็ได้

          แม้ แต่เรื่องความรัก บางคนก็ยึดติดว่า คนรักของตัวเองต้องดี ทั้งหน้าตาและฐานะ ทั้งที่จริง ความรักไม่เคยต้องการเรื่องเหล่านั้น สิ่งที่ความรักต้องการคือ ความรู้สึกที่มาจากหัวใจต่างหาก เขาจึงพลาดโอกาสคบหาคนดี ๆ หลายคนในชีวิต เพราะมัวแต่ยึดติดว่าคนที่เข้ามาต้องมีหน้าตาและฐานะที่ดี

          ซึ่ง เราไม่เห็นว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนตรงไหน การยึดติดจึงไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมให้ตัวเองจมอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ทั้งการยึดติดกับตัวตน หรือการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โลกนี้สร้างทุกสิ่งขึ้นมาให้มีความหลากหลาย แตกต่าง เพื่อให้เราลิ้มลอง บางทีเราก็พลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิตหลายอย่าง เพราะความยึดติดของตัวเอง บางทีถ้าเราเลิกยึดติด เราอาจได้พบเรื่องราวดี ๆ ชีวิตใหม่ เพราะมันน่าเสียดาย หากเราต้องพลาดสิ่งดี ๆ ไปโดยที่เราไม่รู้

          กลบหลุมความคิดที่ชีวิตชอบลงไปอยู่เสียเดี๋ยวนี้ มัวแต่ยึดชีวิต ให้ติดอยู่กับความคิดในหลุมเดิม ๆ แล้วความสุขจะก้าวเดินไปไหนได้…

http://women.kapook.com/view35172.html

Friday, December 16, 2011

ความรักจะมีสีอะไร อยู่ที่เราเลือกมองมุมไหน

ความรัก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เพราะ นิยามความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าความรักคือการให้ บางคนบอกว่าความรักคือสิ่งเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ บางคนบอกว่าความรักคือการปกป้องดูแล ในขณะที่บางคนบอกว่าความรักคือยาพิษชนิดหนึ่ง ฯลฯ

          ไม่แปลกที่นิยามความรักของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงประสบการณ์ที่พบเจอมันแตกต่างกัน อย่าไปคิดว่าทำไมคู่เราถึงไม่เหมือนคนอื่น อย่าไปหวังว่าเขาหรือเธอจะทำอะไรให้เหมือนใคร เพราะ สำหรับความรักแล้ว ไม่มีใครเหมือนใคร และไม่มีใครบอกใครได้ว่าสิ่งที่คุณทำผิดหรือถูก เพราะความรักไม่มีผิดไม่มีถูก ขอแค่รักนั้นไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อนก็พอ

          ไม่ว่าความรักจะหวานให้แก่กันได้ทุกวัน หรือทะเลาะกันทั้งวัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันก็คือ "ความรักของคุณ" ที่คุณออกแบบเอง อีกทั้งความรักจะมีสีอะไร...สีชมพู สีฟ้า สีแดง สีเขียว สีส้ม สีเทา หรือสีดำ ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกมองมุมไหนมากกว่า

          มีบางคู่รู้สึกอึดอัด อึมครึม หม่นหมองอยู่ตลอดเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน นั่นเป็นเพราะคุณมองความรักในมุม "สีเทา" และมัวแต่มองโลกในแง่ร้ายเกินควร มัวแต่คิดเองเออเองและตัดสินใจอะไรไปเอง โดยที่ยังไม่ถามไถ่อีกฝ่ายให้แน่ใจซะก่อน

          มีบางคู่มักมี "สีแดง" ล้อมรอบความรัก เพราะคุณทั้งคู่ร้อนแรง เอาแต่ใจตัวเอง ยกเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยที่ไม่สนใจอีกฝ่ายว่าจะรู้สึกอย่างไร จึงนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง โกรธเคือง บางครั้งอาจถึงขั้นเลิกรา

          มีบางคู่ความรักเป็น "สีเขียว" เย็น สบาย เงียบสงบ คบกันแบบให้อิสระกันและกัน ทั้งในเรื่องความคิด การแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ รอบตัว เพราะต่างฝ่ายต่างใจเย็น และอาจมีบางจังหวะบางช่วงที่ต่างคนต่างอยากฝังตัวเองอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว เล็ก ๆ ของตัวเอง

          แต่หากคุณอยากให้รัก "สีชมพู" สดใส อ่อนหวาน ก็ควรมองมันในด้านที่ดี มองในแง่บวกเสมอ พยายามทำความเข้าใจและยอมรับในตัวซึ่งกันและกัน เพียงเท่านี้เส้นทางความรักที่คุณทั้งคู่วาดฝัน ก็สามารถไปถึงฝั่งได้อย่างไม่ยากเย็นหรอกนะ...จะบอกให้

          เอ...ว่าแต่ความรักของเพื่อน ๆ ล่ะ ตอนนี้กำลังเป็นสีอะไรกันบ้าง???

5 เหตุผล ที่ความรักพัฒนาชีวิตคุณให้ดีขึ้น

ความรัก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ทุกวันนี้หากหันไปมองรอบกาย เราจะพบว่ามีสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "ความรัก" วนเวียนอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเคยสังเกตกันบ้างไหมว่า เวลาที่คนเรามีความรัก เราจะค่อย ๆ กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ดีกว่าเดิม...จากที่เคยทำอะไรไม่ค่อยสนใจใคร ก็เริ่มหันมาสนใจสิ่งรอบกาย จากที่เคยพูดจาขวานผ่าซาก ก็เริ่มพูดจาเข้าหูมากขึ้น จากที่เคยเป็นคนซึมเศร้าเหงาหงอย ก็เริ่มกลับมาสดใสมีชีวิตชีวา เป็นต้น

          นั่นเป็นเพราะ "ความรัก" มีความสำคัญจนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ อะ ๆ แล้วสงสัยไหมว่าอนุภาพของความรักจะช่วยผลักดันให้คุณอยากจะทำอะไรดี ๆ ได้อย่างไร วันนี้เราเลยหยิบเอา 5 เหตุผล ที่ความรักจะพัฒนาชีวิตคุณให้ดีขึ้นได้ จากเว็บไซต์ pickthebrain เขียนโดย มาร์เซลินา ฮาร์ดี้ มาบอกกันค่ะ เริ่มต้นที่...

1. ความรักสร้างพลังบางอย่างให้กับคุณ

          ลองมองย้อนกลับไปในช่วงที่คุณกำลังมีความรัก เพียงสักช่วงเวลาหนึ่งที่คุณพาตัวเองกลับไปในห้วงเวลานั้น คุณรู้สึกอย่างไร? รู้สึกมีความสุขมาก...ราวกับกำลังเดินอยู่บนอากาศที่บางเบา ทำให้คุณรู้สึกว่าสามารถทำอะไรก็ได้ และทำได้ทุกอย่างเพื่อเขาคนนั้น ทีนี้ลองคิดดูว่าถ้าเราสามารถรู้สึกแบบนั้นได้ตลอดเวลาล่ะ มันจะทำให้คุณมีความสุขขนาดไหน กับการที่จะได้ทำอะไรเพื่อคนรัก ลองเปิดตาและเปิดใจให้ความรักเข้ามาในชีวิตของคุณ เพื่อให้ชีวิตได้สัมผัสถึงความรู้สึกอันแสนวิเศษ อย่างที่คุณเคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง

2. ความรักทำให้คุณรู้สึกสงบได้

          ลองจินตนาการดูว่า หลังจากที่ต้องผ่านวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้า เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วได้โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนที่คุณรัก มันจะทำให้คุณรู้สึกดีแค่ไหน ^^ ที่ได้สัมผัสความสงบและความอบอุ่นจากวงแขนนั้น ไม่ว่าวันทั้งวันคุณจะผ่านมาอะไรมา หรือจะเกิดเหตุการณ์หนักหนาขึ้นก็ตาม บัดนี้...มันจบลงแล้ว เพียงเพราะอ้อมกอดเล็ก ๆ ของคนที่คุณรักนั่นเอง

3. ความรักทำให้คุณเป็นคนที่ดีกว่าเดิม

          หากคุณมีความรักอยู่ภายในจิตใจ มันจะทำให้คุณอยากจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ เหล่านั้นแก่ผู้อื่น ซึ่งสิ่งนี้จะแสดงออกผ่านทางพฤติกรรม แม้ว่าในบางครั้งพวกเขาอาจจะทำสิ่งที่ไม่ดีต่อคุณ แต่คุณจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดว่า "เขาคงมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น" แทนที่จะโต้ตอบกลับไปด้วยถ้อยคำหยาบคาย เมื่อมีความรัก...สิ่งดี ๆ ที่เราจะได้จากมันนั้นมีมากมายอย่างคาดไม่ถึง ตราบใดที่เรายังคงมีความรักอยู่ และนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ เพราะมันทำให้คุณมีความเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น

4. ความรักช่วยคุณแก้ปัญหา

          ชีวิตคนเรานั้นมันไม่ง่าย...ในระหว่างเส้นทางเดินของชีวิต มักมีสิ่งท้าทายที่เราต้องเผชิญมากมาย เมื่อใดที่คุณรักใครสักคนอย่างแท้จริง คุณเชื่อมั่นว่าเขาจะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป และช่วยแก้ไขปัญหาในยามเมื่อคุณจนมุม ท้อแท้กับปัญหา และไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหนดี หากคุณมีคนที่รักคอยอยู่เคียงข้างเสมอ คุณจะรู้สึกว่าไม่มีวันเดินอย่างเดียวดายอีกต่อไป ดั่งคำกล่าวที่ว่า "สองหัวดีกว่าหัวเดียว" พร้อมกับกล้าออกไปเผชิญและแก้ไขกับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาด้วย

5. ความรักช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น

          ยามใดที่เรากำลังมีความรัก นั้นหมายความว่ามันจะทำให้คุณรู้จักใส่ใจตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะเป็นคนรักที่ดีที่สุดให้กับเขา เช่น ทำให้คุณรู้จักออกกำลังกายมากขึ้น ทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามดูแลตัวเองไม่ให้เจ็บป่วย ทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความรักมีพลังที่จะส่งผลต่อสภาวะร่างกายของคนเราได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น มันจะทำให้เราอยากมีชีวิตที่ดีเพื่อใครคนนั้น...ใครคนที่คุณจะรักและดูแลไป ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

          เป็น ยังไงกันบ้างคะ สำหรับสิ่งดี ๆ ของความรักที่เรานำมาให้ดูกัน มันสามารถพัฒนาชีวิตเราให้ดีขึ้น โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวใช่ไหมล่ะ ซึ่งบางคนอาจมองข้ามไป แต่อย่างน้อยเหตุผลเหล่านี้ อาจจะทำให้เราหันมาสำรวจตัวเอง ว่าวันนี้เราได้ทำอะไรดี ๆ ให้กับตัวเอง หรือคนที่คุณรักแล้วหรือยัง ถ้ายัง...ก็เริ่มทำกันซะแต่วันนี้ ก่อนที่มันจะสายเกินไปนะคะ

Wednesday, November 30, 2011

ไกล

7 วิธีง่าย ๆ เพื่อบำรุงรักษาความรัก

การได้รักและการได้รับความรัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            เคย สงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมรักเราถึงมีปัญหาบ่อยครั้งเหลือเกิน เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวงอน มีเรื่องให้ชวนโมโหได้ไม่เว้นแต่ละวัน นั่นอาจเป็นเพราะเรายังไม่เคยพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใน ความรัก และไม่พยายามที่จะบำรุงรักษาความรักให้ดี หากเบื่อเต็มทีที่จะต้องมานั่งปวดหัวกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาไม่เว้นวัน เปลี่ยนมาหาวิธีบำรุงรักษาความรักให้ราบรื่นกันดีกว่าค่ะ

1. คุยซุบซิบกับเขาบ้าง

            ถึงแม้พวกผู้ชายจะไม่ค่อยมีเรื่องกอสซิปหรือคุยจุกจิกเหมือนสาว ๆ แต่หากลองชวนเขาคุยซุบซิบเรื่องนู้นเรื่องนี้บ้าง ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร มีความเห็นเช่นไรต่อเรื่องที่คุณชวนคุย และนี่ยังนับเป็นการศึกษานิสัยกันและกันไปในตัวด้วย

2. เข้าใจเป้าหมายของคนรัก

            คุณรู้จักคนรักของตัวเองดีแค่ไหน? คุณรู้หรือไม่ว่าเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร? หากยังไม่รู้นี่คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องนั่งลงคุยกันแบบสบาย ๆ ถึงความฝันของเขา มันจะช่วยให้คุณเข้าใจการกระทำต่าง ๆ ของเขามากขึ้นได้

3. ให้กำลังใจเขา

            แม้คุณผู้ชายของคุณจะดูห้าวหาญ แต่เชื่อเถอะว่าผู้ชายทุกคนต้องการกำลังใจจากคนรัก หากเขากำลังทำงานชิ้นใดอยู่ ให้คอยถามไถ่ความคืบหน้า พร้อมให้กำลังใจว่าเขาสามารถทำได้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนรักที่น่ารักขึ้นอีกหลายเท่าเลยล่ะ

4. การหัวเราะ

            การหัวเราะเป็นยาบำรุงความรักที่ดีสุด ๆ ตัวหนึ่ง มันช่วยกู้สถานการณ์ที่ใกล้จะย่ำแย่ให้กลับมาสดใสได้ หมั่นหาเรื่องกระเซ้ากันให้หัวเราะได้ รับรองว่าความสัมพันธ์จะแข็งแรงขึ้นแน่นอนค่ะ

5. ชวนกันออกเดท 

            ไม่ว่าจะคบกันมานานแค่ไหน หรือแต่งงานกันไปแล้วกี่ปี แต่การออกเดทกันสองคนก็ทำให้หัวใจทั้งสองดวงกระชุ่มกระชวยได้เสมอ ลองหาวันว่างตรงกัน แล้วควงแขนกันออกเดทกระจุ๋งกระจิ๋งสองต่อสองดูบ้างนะคะ

6. เล่นเกมด้วยกัน

            ผู้ชายชอบเรื่องการเล่นเกมนักล่ะ หากคุณเล่นเกมเป็นล่ะก็ นั่งลงเล่นวีดิโอเกมหรือเกมกระดานด้วยกันกับเขา เล่นเกมด้วยกันแบบนี้ได้ทั้งความสนุก ทั้งมีเวลาได้อยู่ด้วยกัน และได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย

7. ไปเที่ยวด้วยกัน

            การออกทริปเป็นเรื่องที่น่าสนุกสนานอยู่แล้ว ยิ่งถ้าได้ออกเดทกับคู่ของตัวเองแล้วล่ะก็ จะยิ่งสนุกและน่าประทับใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเลยทีเดียว ทั้งเวลาว่าง ๆ ระหว่างการเดินทางทำให้คุณได้พูดคุยกันมากขึ้น ซึ่งการพูดคุยนี้นับเป็นยาบำรุงความสัมพันธ์ชั้นยอด แต่อย่าคุยเพลินจนลืมมองทางล่ะ!

            จะบำรุงความรักให้สดใสไม่เห็นจะเป็นเรื่องยาก ถ้าอย่างนั้นมาลองพยายามด้วยกันดูนะคะ ^^

Sunday, November 27, 2011

เยาวชน ยุคที่ 3 กับภัยของวัฒนธรรมหน้าจอ




เยาวชน 3.0 ภัยของวัฒนธรรมหน้าจอ (นิตยสาร E-commerce)

            การ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการอ่านหนังสือสิ่งพิมพ์ธรรมดาไปเป็นการรับข่าวสารผ่าน แท็บเล็ต อีกทั้งการเปิดเครื่องมือค้นหา และใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการทำการบ้าน นัดพบเปิด Google+ Hangout ถ่ายทอดสดให้คนทั่วโลกดูกิจวัตรของเรา ใช่ครับ โลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปเยอะมากจนลืมไปว่าเราอยู่กันแบบเดิมอย่างไร

            เด็กอายุ 3-5 ขวบ สามารถทำความเข้าใจ iPad ได้รวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่กำราบอาการงอแงของพวกเขาซะอยู่หมัด วัยรุ่นใช้เวลาในการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ และทำกิจกรรมกับมันชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 8-10 ครั้ง



วัฒนธรรมหน้าจอกำลังเกิดขึ้น

            หากสังเกตวัยรุ่นทุกวันนี้ จะพบว่า พวกเขาใช้เวลาคลุกคลีกับคอมพิวเตอร์มากกว่าหนังสือ และใช้เวลากับการออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง บนทุกแพลตฟอร์ม รวมไปถึงสมาร์ทโฟน สมาธิของพวกเขามักจะจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ละสายตาไปจากมัน

            ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ได้เห็นวัยรุ่นหรือเยาวชนของประเทศนั้น พกพาสมาร์ทโฟนและใช้ iPad แทบทุกคน

            ทั้งได้เห็นช่วงอายุระหว่าง 18-25 ปี ที่ถือว่าเป็นช่วงวัยรุ่น ได้เปลี่ยนไปเป็นอายุ 30-45 ปีแทน หมายความว่า เจเนอเรชั่นหรือช่วงอายุของผู้คนได้ยกระดับขึ้น ยุคของคนที่คาบเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์และคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นกลุ่มวัย กลางคน และผู้สูงอายุ ยุคของวัยรุ่นที่โตมาพร้อมกับประตูที่เปิดกว้างของเทคโนโลยีเริ่มกลายเป็น กลุ่มของวัยผู้ใหญ่ มีผลต่อเนื่องเป็นไปถึงกลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชนในยุคหลังด้วย เรากำลังก้าวสู่ยุคของวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า วัฒนธรรมหน้าจอ Teenagers to Screenagers

            ผู้เขียนสังเกตพฤติกรรมพ่อแม่ในยุคดิจิตอลที่เลี้ยงลูกในประเทศสิงคโปร์ และหลายครอบครัวในประเทศไทย เห็นความผิดแปลกธรรมเนียมและดำเนินมาอย่างไม่สู้ดีนัก เมื่อคนเป็นพ่อและแม่ในสมัยนี้คิด ที่จะลดภาระการเอาใจใส่บุตรหลานโดยการนำ iPad มาเป็นอุปกรณ์ตัวช่วย

            เมื่อใดที่ลูกของตนเริ่มงอแง การดูแลเอาใจใส่จากเดิมหายไป กลับหยิบเอา iPad ให้ลูก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจดจ่อกับสิ่งอื่นแทน

              ข้อดีคือ
ลดภาระของพ่อแม่ ลูกสามารถทำความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพในการรับรู้กับเทคโนโลยีตัวใหม่ได้เร็วขึ้น

              ข้อเสียก็คือ
เทคโนโลยีกำลังแย่งความรักไปจากมนุษย์ และยังมีผลทำให้สมาธิและอารมณ์ของเด็กสั้นจนเกินไปอีกด้วย



คำตอบมากมายมีอยู่ในอินเทอร์เน็ต แต่คำถามดีๆ ที่เหมาะกับเด็กนั้นจะหายไป

            วัฒนธรรมหน้าจอที่ยกขึ้นมา ทำให้เด็กอยู่กับการตอบสนองที่รวดเร็วของเทคโนโลยี จนลืมว่าการรับรู้ของเด็กที่โตมากับเทคโนโลยีจะได้อิทธิพลของความต้องการตอบ สนองแบบทันทีทันใด มากกว่าจะเก็บข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนค่อยเป็นค่อยไป

            การ คลุกคลีกับเทคโนโลยีในวัยเด็กมีผลต่อภาวะทางความคิดของวัยที่เริ่มเติบโต หากสังเกตวัยรุ่นมัธยมปลาย หรือระดับที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย จะพบว่ากลุ่มดังกล่าวพกโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนเกือบทุกคน แทบจะไม่มีโอกาสได้ปิดเครื่องโทรศัพท์ได้นานเกินฟังก์ชั่นการ Restart เครื่อง หากจะหยุดได้นานที่สุดคือ 1-2 ชั่วโมง เวลาที่ทานข้าว และอยู่ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

            แปลว่า หากเยาวชนในยุคดิจิตอลต้องการคำตอบ หรือข้อมูลในตอนไหน พวกเขาต้องได้ในตอนนั้น พวกเขาไม่ต้องการเสียเวลาเพียงไม่กี่นาทีในการรอข้อมูลในหน้ากระดาษ ที่ต้องอาศัยทักษะในการค้นหาและเปิดอ่าน คอนเทนต์ที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอล มีฟังก์ชั่นการค้นหาที่รวดเร็ว ตอบโจทย์ภาวะความต้องการของพวกเขาได้มากกว่า รูปภาพ และวิดีโอ สามารถสื่อความเข้าใจได้รวดเร็วมากกว่าตัวอักษร และตัวหนังสือ

            โลก ดิจิตอลสร้างความคุ้นเคย และทำให้ภาวะที่ต้องอาศัยการรอคอย เช่น การเข้าคิว และการอ่านหนังสือแล้วคิดตามไม่ทันใจ พวกเขาเสพติดการเชื่อมต่ออย่าง การดูวิดีโอ และบทความ ผ่านการแบ่งปันของเพื่อนที่อยู่บนเครือข่ายมากกว่าจะออกไปค้นหาข้อมูล แล้วมาแบ่งปันซะเอง

            ที่สำคัญ หลายอย่างที่พวกเขาไม่เข้าใจ สามารถหาคำตอบนั้นใน Google โดยไม่ได้คิดวิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปอย่างถ่องแท้ อีกทั้งข้อมูลใน Google มีทั้งที่เหมาะสมกับเด็กและไม่เหมาะสมอยู่มากมาย  หากจะใช้ฟังก์ชั่นพื้นฐานของระบบในการล็อก หรือปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลไม่เหมาะสมเหล่านั้นคงไม่เพียงพอ อย่าลืมว่าพวกเขาทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีได้ไวและอาจจะเข้าใจได้มากกว่าคุณ


อะไรคือความพอดีของเทคโนโลยี กับเยาวชน

            "กว้างมากแต่กลัวแคบลง" เยาวชน และวัยรุ่นยุค Screenagers มีความพอดีน้อยลง จะเห็นว่าพวกเขานิยมที่จะทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน คิดอะไร และทำอะไรที่ไม่สอดคล้องกันในเวลาเดียวกัน ทำให้ผลลัพธ์ของการกระทำทุกอย่างออกมาไม่มีประสิทธิภาพอย่างแบบเดิมที่เคย ดำเนินกันมาแต่ก่อน

            ข้อมูลที่ปรากฏมากมายในอินเทอร์เน็ต พวกเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องปรึกษาผู้ปกครอง เครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น Hi5 และ Facebook ซึ่งครั้งหนึ่งมีผู้ใช้ที่มีคุณภาพ ตอนนี้มีการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมมากมาย เพราะพวกเขาใส่ใจแต่เรื่องของตนเองในโลกอินเทอร์เน็ต รับรู้เพียงแค่คำชม และของรางวัลที่ปรากฏขึ้นในโลกออนไลน์ ปิดกั้นข้อเสนอแนะและคำตักเตือนจากผู้อื่น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในด้านอื่น

            วัฒนธรรมหน้าจอจะสอนให้เด็กวัยรุ่น และเยาวชนอยู่กับความคิดผิดว่า เมื่อมีอะไรผิดพลาดพวกเขาก็แค่เพิกเฉยมัน เหมือนกับเวลาที่มีอะไรผิดพลาดในระบบคอมพิวเตอร์ เพียงแค่กดปุ่ม Control + Alt + Delete มันก็จบ พวกเขาไม่ได้คิดถึงการแก้ปัญหาที่แท้จริง เมื่อถึงคราวที่พบปัญหาพวกเขาจะได้แต่นิ่ง และหมดหวังในการค้นหาทางออก

            อะไรคือ ความพอดี ที่เราต้องปลูกฝังให้แก่เยาวชนเหล่านี้ ถ้าช่วงอายุของเด็กที่ควรจะใช้งานแท็บเล็ตนั้นเปลี่ยนจากระดับประถม 9-14 ปี ไปเป็นระดับมัธยม 15-18 ปี น่าจะมีประโยชน์กว่า เปลี่ยนบทบาทของเยาวชนที่เป็นผู้ใช้งานอย่างเดียวไปเป็นผู้พัฒนาแทน เหมือนกับที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้เปิดแคมป์ในช่วงซัมเมอร์ เป็นค่ายพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เป็นต้น

            แต่บางครั้งคนที่เป็นพ่อและแม่ควรคอยชี้นำและตอบข้อสงสัยในขณะที่อยู่หน้าจอ iPad และพยายามหากิจกรรมทำร่วมกันมากกว่าการใช้เทคโนโลยีมาเป็นอุปกรณ์แก้ปัญหา เมื่อลูกเกิดอาการงอแง

คอมพิวเตอร์


อย่าให้ Google และ Facebook เป็นพ่อแม่บุญธรรม และอย่าให้แท็บเล็ตเป็นเพื่อนของพวกเขา

            เทคโนโลยีกำลังบีบให้สมาธิของเยาวชนยุค Screenagers แคบลง คุณภาพของความคิด คำถาม และการตัดสินใจกำลังลดน้อยลง ทั้งเรื่องของปริมาณคำถามที่แทบจะไม่มีอะไรให้คนเป็นพ่อและแม่รุ่นใหม่ ได้ตอบคำถามของเด็กๆ แม้ว่า "เรา" ซึ่งอาจจะรวมถึงผู้เขียนด้วย เป็นตัวแทนของคนที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างหนังสือและแท็บเล็ต

            ความสำคัญของโลกแห่งความเป็นจริงที่ออกห่างจากดิจิตอลยังคงมีอยู่ เราคือฝ่ายที่ต้องเรียกสิ่งเก่าที่ปลูกฝังเราอย่างหนังสือ คำถาม การเรียนรู้ การพัฒนา กลับมาสู่เยาวชนรุ่นต่อไป

            การอ่านจากหน้าแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน อาจจะตอบโจทย์ในเรื่องของความรวดเร็วและการตอบสนอง แต่บางครั้ง หนังสือแบบเก่าอาจจะตอบโจทย์ในเรื่องของสมาธิ ภาวะในการคิด และความเข้าใจ
บทสรุปของวัฒนธรรมหน้าจอ เยาวชนในยุคที่ 3

            ในฐานะของผู้ใหญ่ในยุคที่ 3 นี้ ควรจะต้องมีการเข้าใจเยาวชนที่เราต้องดูแล มากกว่าจะให้เทคโนโลยีชี้นำพวกเขาไปแทบทุกเรื่อง ลดความเกินพอดีของกิจกรรมบนโลกอินเทอร์เน็ตของพวกเขาให้น้อยลง พยายามให้พวกเขาตั้งคำถามให้มากเท่าที่จะมากได้ และตอบคำถามพวกเขาได้อย่างถูกต้อง และตรงประเด็นให้มากที่สุด อย่าปล่อยให้เยาวชนในยุคที่ 3 นี้สูญเสียความคิด ความอดทนต่อสิ่งเร้า และการแก้ปัญหา จากการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี แต่คำตอบที่ดี ที่เราจะตอบพวกเขาเราจะหาจากไหนดีล่ะ... เปิด Google ก่อนดีกว่า


Profile นักเขียน
บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์

            เรียกตัวเองว่า Thinker ผู้พัฒนาเว็บไซต์ Daydev.com จบปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปัจจุบันศึกษาปริญญาโท ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ มี ผลงานมากมายในเรื่องการวิจัยด้าน โปรแกรมมิ่ง, พัฒนาเกม, เทคโนโลยีด้านAugmented Reality และ ความรู้ด้านการใช้ Social Media ไปจนถึงโครงงานนวัตกรรม ในหลายโครงงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ (Twitter @daydev)

    
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก