Wednesday, November 30, 2011

ไกล

7 วิธีง่าย ๆ เพื่อบำรุงรักษาความรัก

การได้รักและการได้รับความรัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            เคย สงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมรักเราถึงมีปัญหาบ่อยครั้งเหลือเกิน เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวงอน มีเรื่องให้ชวนโมโหได้ไม่เว้นแต่ละวัน นั่นอาจเป็นเพราะเรายังไม่เคยพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใน ความรัก และไม่พยายามที่จะบำรุงรักษาความรักให้ดี หากเบื่อเต็มทีที่จะต้องมานั่งปวดหัวกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาไม่เว้นวัน เปลี่ยนมาหาวิธีบำรุงรักษาความรักให้ราบรื่นกันดีกว่าค่ะ

1. คุยซุบซิบกับเขาบ้าง

            ถึงแม้พวกผู้ชายจะไม่ค่อยมีเรื่องกอสซิปหรือคุยจุกจิกเหมือนสาว ๆ แต่หากลองชวนเขาคุยซุบซิบเรื่องนู้นเรื่องนี้บ้าง ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร มีความเห็นเช่นไรต่อเรื่องที่คุณชวนคุย และนี่ยังนับเป็นการศึกษานิสัยกันและกันไปในตัวด้วย

2. เข้าใจเป้าหมายของคนรัก

            คุณรู้จักคนรักของตัวเองดีแค่ไหน? คุณรู้หรือไม่ว่าเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร? หากยังไม่รู้นี่คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องนั่งลงคุยกันแบบสบาย ๆ ถึงความฝันของเขา มันจะช่วยให้คุณเข้าใจการกระทำต่าง ๆ ของเขามากขึ้นได้

3. ให้กำลังใจเขา

            แม้คุณผู้ชายของคุณจะดูห้าวหาญ แต่เชื่อเถอะว่าผู้ชายทุกคนต้องการกำลังใจจากคนรัก หากเขากำลังทำงานชิ้นใดอยู่ ให้คอยถามไถ่ความคืบหน้า พร้อมให้กำลังใจว่าเขาสามารถทำได้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนรักที่น่ารักขึ้นอีกหลายเท่าเลยล่ะ

4. การหัวเราะ

            การหัวเราะเป็นยาบำรุงความรักที่ดีสุด ๆ ตัวหนึ่ง มันช่วยกู้สถานการณ์ที่ใกล้จะย่ำแย่ให้กลับมาสดใสได้ หมั่นหาเรื่องกระเซ้ากันให้หัวเราะได้ รับรองว่าความสัมพันธ์จะแข็งแรงขึ้นแน่นอนค่ะ

5. ชวนกันออกเดท 

            ไม่ว่าจะคบกันมานานแค่ไหน หรือแต่งงานกันไปแล้วกี่ปี แต่การออกเดทกันสองคนก็ทำให้หัวใจทั้งสองดวงกระชุ่มกระชวยได้เสมอ ลองหาวันว่างตรงกัน แล้วควงแขนกันออกเดทกระจุ๋งกระจิ๋งสองต่อสองดูบ้างนะคะ

6. เล่นเกมด้วยกัน

            ผู้ชายชอบเรื่องการเล่นเกมนักล่ะ หากคุณเล่นเกมเป็นล่ะก็ นั่งลงเล่นวีดิโอเกมหรือเกมกระดานด้วยกันกับเขา เล่นเกมด้วยกันแบบนี้ได้ทั้งความสนุก ทั้งมีเวลาได้อยู่ด้วยกัน และได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย

7. ไปเที่ยวด้วยกัน

            การออกทริปเป็นเรื่องที่น่าสนุกสนานอยู่แล้ว ยิ่งถ้าได้ออกเดทกับคู่ของตัวเองแล้วล่ะก็ จะยิ่งสนุกและน่าประทับใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเลยทีเดียว ทั้งเวลาว่าง ๆ ระหว่างการเดินทางทำให้คุณได้พูดคุยกันมากขึ้น ซึ่งการพูดคุยนี้นับเป็นยาบำรุงความสัมพันธ์ชั้นยอด แต่อย่าคุยเพลินจนลืมมองทางล่ะ!

            จะบำรุงความรักให้สดใสไม่เห็นจะเป็นเรื่องยาก ถ้าอย่างนั้นมาลองพยายามด้วยกันดูนะคะ ^^

Sunday, November 27, 2011

เยาวชน ยุคที่ 3 กับภัยของวัฒนธรรมหน้าจอ




เยาวชน 3.0 ภัยของวัฒนธรรมหน้าจอ (นิตยสาร E-commerce)

            การ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการอ่านหนังสือสิ่งพิมพ์ธรรมดาไปเป็นการรับข่าวสารผ่าน แท็บเล็ต อีกทั้งการเปิดเครื่องมือค้นหา และใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการทำการบ้าน นัดพบเปิด Google+ Hangout ถ่ายทอดสดให้คนทั่วโลกดูกิจวัตรของเรา ใช่ครับ โลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปเยอะมากจนลืมไปว่าเราอยู่กันแบบเดิมอย่างไร

            เด็กอายุ 3-5 ขวบ สามารถทำความเข้าใจ iPad ได้รวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่กำราบอาการงอแงของพวกเขาซะอยู่หมัด วัยรุ่นใช้เวลาในการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ และทำกิจกรรมกับมันชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 8-10 ครั้ง



วัฒนธรรมหน้าจอกำลังเกิดขึ้น

            หากสังเกตวัยรุ่นทุกวันนี้ จะพบว่า พวกเขาใช้เวลาคลุกคลีกับคอมพิวเตอร์มากกว่าหนังสือ และใช้เวลากับการออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง บนทุกแพลตฟอร์ม รวมไปถึงสมาร์ทโฟน สมาธิของพวกเขามักจะจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ละสายตาไปจากมัน

            ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ได้เห็นวัยรุ่นหรือเยาวชนของประเทศนั้น พกพาสมาร์ทโฟนและใช้ iPad แทบทุกคน

            ทั้งได้เห็นช่วงอายุระหว่าง 18-25 ปี ที่ถือว่าเป็นช่วงวัยรุ่น ได้เปลี่ยนไปเป็นอายุ 30-45 ปีแทน หมายความว่า เจเนอเรชั่นหรือช่วงอายุของผู้คนได้ยกระดับขึ้น ยุคของคนที่คาบเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์และคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นกลุ่มวัย กลางคน และผู้สูงอายุ ยุคของวัยรุ่นที่โตมาพร้อมกับประตูที่เปิดกว้างของเทคโนโลยีเริ่มกลายเป็น กลุ่มของวัยผู้ใหญ่ มีผลต่อเนื่องเป็นไปถึงกลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชนในยุคหลังด้วย เรากำลังก้าวสู่ยุคของวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า วัฒนธรรมหน้าจอ Teenagers to Screenagers

            ผู้เขียนสังเกตพฤติกรรมพ่อแม่ในยุคดิจิตอลที่เลี้ยงลูกในประเทศสิงคโปร์ และหลายครอบครัวในประเทศไทย เห็นความผิดแปลกธรรมเนียมและดำเนินมาอย่างไม่สู้ดีนัก เมื่อคนเป็นพ่อและแม่ในสมัยนี้คิด ที่จะลดภาระการเอาใจใส่บุตรหลานโดยการนำ iPad มาเป็นอุปกรณ์ตัวช่วย

            เมื่อใดที่ลูกของตนเริ่มงอแง การดูแลเอาใจใส่จากเดิมหายไป กลับหยิบเอา iPad ให้ลูก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจดจ่อกับสิ่งอื่นแทน

              ข้อดีคือ
ลดภาระของพ่อแม่ ลูกสามารถทำความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพในการรับรู้กับเทคโนโลยีตัวใหม่ได้เร็วขึ้น

              ข้อเสียก็คือ
เทคโนโลยีกำลังแย่งความรักไปจากมนุษย์ และยังมีผลทำให้สมาธิและอารมณ์ของเด็กสั้นจนเกินไปอีกด้วย



คำตอบมากมายมีอยู่ในอินเทอร์เน็ต แต่คำถามดีๆ ที่เหมาะกับเด็กนั้นจะหายไป

            วัฒนธรรมหน้าจอที่ยกขึ้นมา ทำให้เด็กอยู่กับการตอบสนองที่รวดเร็วของเทคโนโลยี จนลืมว่าการรับรู้ของเด็กที่โตมากับเทคโนโลยีจะได้อิทธิพลของความต้องการตอบ สนองแบบทันทีทันใด มากกว่าจะเก็บข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนค่อยเป็นค่อยไป

            การ คลุกคลีกับเทคโนโลยีในวัยเด็กมีผลต่อภาวะทางความคิดของวัยที่เริ่มเติบโต หากสังเกตวัยรุ่นมัธยมปลาย หรือระดับที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย จะพบว่ากลุ่มดังกล่าวพกโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนเกือบทุกคน แทบจะไม่มีโอกาสได้ปิดเครื่องโทรศัพท์ได้นานเกินฟังก์ชั่นการ Restart เครื่อง หากจะหยุดได้นานที่สุดคือ 1-2 ชั่วโมง เวลาที่ทานข้าว และอยู่ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

            แปลว่า หากเยาวชนในยุคดิจิตอลต้องการคำตอบ หรือข้อมูลในตอนไหน พวกเขาต้องได้ในตอนนั้น พวกเขาไม่ต้องการเสียเวลาเพียงไม่กี่นาทีในการรอข้อมูลในหน้ากระดาษ ที่ต้องอาศัยทักษะในการค้นหาและเปิดอ่าน คอนเทนต์ที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอล มีฟังก์ชั่นการค้นหาที่รวดเร็ว ตอบโจทย์ภาวะความต้องการของพวกเขาได้มากกว่า รูปภาพ และวิดีโอ สามารถสื่อความเข้าใจได้รวดเร็วมากกว่าตัวอักษร และตัวหนังสือ

            โลก ดิจิตอลสร้างความคุ้นเคย และทำให้ภาวะที่ต้องอาศัยการรอคอย เช่น การเข้าคิว และการอ่านหนังสือแล้วคิดตามไม่ทันใจ พวกเขาเสพติดการเชื่อมต่ออย่าง การดูวิดีโอ และบทความ ผ่านการแบ่งปันของเพื่อนที่อยู่บนเครือข่ายมากกว่าจะออกไปค้นหาข้อมูล แล้วมาแบ่งปันซะเอง

            ที่สำคัญ หลายอย่างที่พวกเขาไม่เข้าใจ สามารถหาคำตอบนั้นใน Google โดยไม่ได้คิดวิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปอย่างถ่องแท้ อีกทั้งข้อมูลใน Google มีทั้งที่เหมาะสมกับเด็กและไม่เหมาะสมอยู่มากมาย  หากจะใช้ฟังก์ชั่นพื้นฐานของระบบในการล็อก หรือปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลไม่เหมาะสมเหล่านั้นคงไม่เพียงพอ อย่าลืมว่าพวกเขาทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีได้ไวและอาจจะเข้าใจได้มากกว่าคุณ


อะไรคือความพอดีของเทคโนโลยี กับเยาวชน

            "กว้างมากแต่กลัวแคบลง" เยาวชน และวัยรุ่นยุค Screenagers มีความพอดีน้อยลง จะเห็นว่าพวกเขานิยมที่จะทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน คิดอะไร และทำอะไรที่ไม่สอดคล้องกันในเวลาเดียวกัน ทำให้ผลลัพธ์ของการกระทำทุกอย่างออกมาไม่มีประสิทธิภาพอย่างแบบเดิมที่เคย ดำเนินกันมาแต่ก่อน

            ข้อมูลที่ปรากฏมากมายในอินเทอร์เน็ต พวกเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องปรึกษาผู้ปกครอง เครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น Hi5 และ Facebook ซึ่งครั้งหนึ่งมีผู้ใช้ที่มีคุณภาพ ตอนนี้มีการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมมากมาย เพราะพวกเขาใส่ใจแต่เรื่องของตนเองในโลกอินเทอร์เน็ต รับรู้เพียงแค่คำชม และของรางวัลที่ปรากฏขึ้นในโลกออนไลน์ ปิดกั้นข้อเสนอแนะและคำตักเตือนจากผู้อื่น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในด้านอื่น

            วัฒนธรรมหน้าจอจะสอนให้เด็กวัยรุ่น และเยาวชนอยู่กับความคิดผิดว่า เมื่อมีอะไรผิดพลาดพวกเขาก็แค่เพิกเฉยมัน เหมือนกับเวลาที่มีอะไรผิดพลาดในระบบคอมพิวเตอร์ เพียงแค่กดปุ่ม Control + Alt + Delete มันก็จบ พวกเขาไม่ได้คิดถึงการแก้ปัญหาที่แท้จริง เมื่อถึงคราวที่พบปัญหาพวกเขาจะได้แต่นิ่ง และหมดหวังในการค้นหาทางออก

            อะไรคือ ความพอดี ที่เราต้องปลูกฝังให้แก่เยาวชนเหล่านี้ ถ้าช่วงอายุของเด็กที่ควรจะใช้งานแท็บเล็ตนั้นเปลี่ยนจากระดับประถม 9-14 ปี ไปเป็นระดับมัธยม 15-18 ปี น่าจะมีประโยชน์กว่า เปลี่ยนบทบาทของเยาวชนที่เป็นผู้ใช้งานอย่างเดียวไปเป็นผู้พัฒนาแทน เหมือนกับที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้เปิดแคมป์ในช่วงซัมเมอร์ เป็นค่ายพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เป็นต้น

            แต่บางครั้งคนที่เป็นพ่อและแม่ควรคอยชี้นำและตอบข้อสงสัยในขณะที่อยู่หน้าจอ iPad และพยายามหากิจกรรมทำร่วมกันมากกว่าการใช้เทคโนโลยีมาเป็นอุปกรณ์แก้ปัญหา เมื่อลูกเกิดอาการงอแง

คอมพิวเตอร์


อย่าให้ Google และ Facebook เป็นพ่อแม่บุญธรรม และอย่าให้แท็บเล็ตเป็นเพื่อนของพวกเขา

            เทคโนโลยีกำลังบีบให้สมาธิของเยาวชนยุค Screenagers แคบลง คุณภาพของความคิด คำถาม และการตัดสินใจกำลังลดน้อยลง ทั้งเรื่องของปริมาณคำถามที่แทบจะไม่มีอะไรให้คนเป็นพ่อและแม่รุ่นใหม่ ได้ตอบคำถามของเด็กๆ แม้ว่า "เรา" ซึ่งอาจจะรวมถึงผู้เขียนด้วย เป็นตัวแทนของคนที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างหนังสือและแท็บเล็ต

            ความสำคัญของโลกแห่งความเป็นจริงที่ออกห่างจากดิจิตอลยังคงมีอยู่ เราคือฝ่ายที่ต้องเรียกสิ่งเก่าที่ปลูกฝังเราอย่างหนังสือ คำถาม การเรียนรู้ การพัฒนา กลับมาสู่เยาวชนรุ่นต่อไป

            การอ่านจากหน้าแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน อาจจะตอบโจทย์ในเรื่องของความรวดเร็วและการตอบสนอง แต่บางครั้ง หนังสือแบบเก่าอาจจะตอบโจทย์ในเรื่องของสมาธิ ภาวะในการคิด และความเข้าใจ
บทสรุปของวัฒนธรรมหน้าจอ เยาวชนในยุคที่ 3

            ในฐานะของผู้ใหญ่ในยุคที่ 3 นี้ ควรจะต้องมีการเข้าใจเยาวชนที่เราต้องดูแล มากกว่าจะให้เทคโนโลยีชี้นำพวกเขาไปแทบทุกเรื่อง ลดความเกินพอดีของกิจกรรมบนโลกอินเทอร์เน็ตของพวกเขาให้น้อยลง พยายามให้พวกเขาตั้งคำถามให้มากเท่าที่จะมากได้ และตอบคำถามพวกเขาได้อย่างถูกต้อง และตรงประเด็นให้มากที่สุด อย่าปล่อยให้เยาวชนในยุคที่ 3 นี้สูญเสียความคิด ความอดทนต่อสิ่งเร้า และการแก้ปัญหา จากการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี แต่คำตอบที่ดี ที่เราจะตอบพวกเขาเราจะหาจากไหนดีล่ะ... เปิด Google ก่อนดีกว่า


Profile นักเขียน
บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์

            เรียกตัวเองว่า Thinker ผู้พัฒนาเว็บไซต์ Daydev.com จบปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปัจจุบันศึกษาปริญญาโท ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ มี ผลงานมากมายในเรื่องการวิจัยด้าน โปรแกรมมิ่ง, พัฒนาเกม, เทคโนโลยีด้านAugmented Reality และ ความรู้ด้านการใช้ Social Media ไปจนถึงโครงงานนวัตกรรม ในหลายโครงงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ (Twitter @daydev)

    
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

Thursday, November 24, 2011

จังหวะรัก...มันต้องมีสุขบ้าง สะดุดบ้าง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ณ เวลานี้คงมีหลายคนที่รู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดหวัง เสียใจกับความรัก แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังรู้สึกดี มีความสุขในทุก ๆ วันที่รักผลิบานสะพรั่ง อาจเพราะเส้นทาง "ความรัก" ของคนเราไม่เหมือนกัน รับรู้ รับฟัง พบเจอสิ่งรอบตัวแตกต่างกันออกไป จึงไม่แปลกหากประสบการณ์ของแต่ละคนจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ไม่ควรที่จะยึดเอาความคิดหรือประสบการณ์ของคนอื่น มาชี้นำรักของคุณเอง

          ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เมื่อมีรัก ความสุขจะผสมผสานกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ความทุกข์จะปนเปน้ำตาและความหม่นหมอง แต่ไม่ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน ทั้งหมดมันก็คือ "ความรัก" อีกทั้งควรจำเอาไว้ว่า...

          คงไม่มีรักของใคร...จะงดงามได้ตลอดไป
          คงไม่มีรักของใคร...จะไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง
          คงไม่มีรักของใคร...ต้องต่อล้อต่อเถียงกันตลอดเวลา
          คงไม่มีรักของใคร...จะยิ้มได้ในทุกวัน
          คงไม่มีรักของใคร...จะสร้างเสียงหัวเราะเสมอ
          คงไม่มีรักของใคร...จะต้องมานั่งหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
          คงไม่มีรักของใคร...จะพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ในทุก ๆ วัน

          ความ รู้สึกต่าง ๆ หรืออะไร ๆ ที่มันเข้ามาหาคุณ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไปในสักวันหนึ่ง และท้ายที่สุดอย่าลืมว่า...ถึงจะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหนื่อยบ้าง ยิ้มบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันก็คือ "รสชาติของความรัก" ที่หาซื้อไม่ได้ นอกจากจะสัมผัสด้วยตัวคุณเองเท่านั้น

          เลือก ทำในสิ่งที่ใจยิ้มได้อย่างสุดกำลัง อะไรที่ทำแล้วเกิดความเจ็บปวดก็หยุดซะ เชื่อเถอะว่า...แล้วคุณจะพบความรักของคุณมันดีเหลือเกิน เพราะอย่างน้อยคุณก็ "รักตัวเอง" มากกว่าใคร ๆ

Monday, November 21, 2011

"คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา"

คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา

แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่

คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี

แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย

คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้

แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป

คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข

แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ

คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา

แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"

คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน

แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก

แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย

แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา

คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข

แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง

แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา"



แหล่งที่มา : fwmail

คนที่เรารัก กับ คนที่รักเรา

คำ ที่สะกดใกล้เคียงกัน ต่างกันเพียงการสลับคำเพียงไม่กี่คำ แต่ทำเอาความหมายนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง โลกนี้มักไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ หรือสมหวังไปทุกอย่าง มักจะได้อย่างเสียอย่างเสมอ
คนเราเรารัก คือ คนที่เรามอบความรักมอบหัวใจ คนที่เราอยากมีเขาอยู่เคียงข้างไม่ว่าสุขหรือทุกข์ คนที่เราอยากมีเขาเคียงข้างเมื่อหลับตานอนหรือลืมตาตื่น คนที่เราพร้อมจะมอบสิ่งดีๆโดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน ขอเพียงเห็นเขามีความสุขมันก็ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจได้ คนที่เรามองข้ามทุกข้อจำกัดความมองข้ามข้อเสีย ยอมอภัยทุกความผิดโดยไม่มีเงื่อนนไขใดๆ แม้เขาจะเลวกับเราแค่ไหนก็ตาม หรือแม้แต่เขาจะไม่เคยมีใจให้กับเรา เราก็พร้อมจะหลอกตัวเอง ปิดหูปิดตายอมรับสภาพและรักจนตาย(ความ) ต่างกับสิ้นเชิงกับ
คนที่รักเรา หลาย ต่อหลายคนมักบอกว่า ทำไมไม่รักคนที่รักเรา คนที่เห็นคุณค่าของเรา จะได้ไม่ช้ำใจ คำตอบง่ายๆ คนที่รักเรา ไม่ใช่ คนที่เรารัก มันทดแทนกันไม่ได้ มันหลอกตัวเองให้รักไม่ได้เมื่อใจไม่ได้รักเขา และเรามักมองข้ามทุกๆอย่างที่เขามอบให้มา เราจะเห็นคุณค่าเขาต่อเมื่อเรามีทุกข์และต้องการใครสักคนเข้าใจ ซึ่งเขาก็พร้อมเข้าใจเราอย่างไม่มีข้อแม้ แต่เมื่อเรามีความสุขเรามักมองไม่เห็นหัวเขา
มันคงเป็นมุขตลกของโชค ชะตาที่เหมือนขีดเส้นมาเพื่อกลั่นแกล้งให้โลกนี้ไม่มีสมดุลง่ายๆ เพราะคนที่เรารัก มักไม่รักเรา แต่คนที่รักเรา รักมักไม่รักเขา มันเป็นเป็นเวรกรรมที่ต้องเวียนวนอยู่ในวังวนความทุกข์นี้ ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงมีประสบการณ์เช่นเดียวกับผม หลอกตัวเองยอมทุกอย่างแม้ทุกข์มากเพียงใดขอแค่ได้รักคนที่เรารัก ทนได้ทุกอย่าง และไม่หลอกตัวเองทำร้ายคนที่เรารัก เพราะสุดท้าย คนมันไม่รัก ทำอย่างไรเขาก็ไม่รัก 
credit http://www.oknation.net/blog/sorrowman/2009/08/24/entry-1

Wednesday, November 16, 2011

รักษารักระยะไกลอย่างไรให้เวิร์ก

ทำอย่างไรไม่ให้ระยะทาง เป็นอุปสรรคต่อความรัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เมื่อ คนรักต้องอยู่ไกลห่างกัน ไม่ว่าจะมีเหตุด้วยเรื่องการเรียน การทำงาน หรือเหตุผลใดก็ตาม การอยู่ไกลกันยิ่งทำให้คู่รักต้องดูแลเอาใจใส่ต่อกันมากขึ้น วันนี้เราเลยมีวิธีที่จะทำให้ "รักแท้...ไม่แพ้ระยะทาง" มาฝากกันค่ะ

1. เชื่อใจกันและกัน

           ความเชื่อใจซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับคู่รักระยะไกล เพราะทั้งคู่ต่างไม่ได้เห็นหน้าค่าตากัน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ทำอะไร ที่ไหน อยู่กับใคร หากขาดเรื่องความเชื่อใจที่มีต่อกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรความรักของคุณก็จะยังมั่นคงขนาดไหน เชื่อเถอะว่าต่างฝ่ายต่างอดระแวงกันไม่ได้ สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือความเชื่อใจอีกฝ่าย รวมทั้งเชื่อใจว่ารักของคุณครั้งนี้คือรักแท้ และมันจะไม่สั่นไหวง่าย ๆ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณก้าวผ่านอุปสรรคเรื่องระยะทางไปได้

2. พูดคุยกันทุกวัน

           เพราะไม่อาจได้พบเจอกัน การพูดคุยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมาทดแทนความคิดถึง ความโหยหาซึ่งกันและกันได้ โทรศัพท์คุยกันเป็นประจำ ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายให้ชื่นใจ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ต่างฝ่ายต่างได้ไปเจอมา เท่านี้ก็เหมือนกับเป็นการเติมความชุ่มชื่นให้กับความสัมพันธ์ของคุณทั้งสอง ได้

3. คุยผ่านสไกป์ (Skype)

           เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตและโปรแกรมแชทอย่างสไกป์ ทำให้การพูดคุยระยะไกลเป็นไปได้ง่ายขึ้น แถมยังได้ใกล้ชิดมากกว่าการคุยโทรศัพท์ด้วย เพราะการคุยผ่านโปรแกรมสไกป์ทำให้ได้เห็นทั้งหน้า ได้ยินทั้งเสียง เท่านี้ความคิดถึงก็คงถูกบรรเทาลงได้เยอะ

4. ทำเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยกัน

           แม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันไม่ได้ เช่น คุณสามารถดูซีรี่ย์ออนไลน์เรื่องเดียวกันได้ ฟังเพลงเดียวกัน ในขณะที่กำลังแชทหรือเล่นสไกป์ไปพร้อม ๆ กัน แม้ตัวจะไม่อยู่ใกล้ แต่การรู้สึกว่าได้ทำอะไรร่วมกันก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้ค่ะ

5. ไม่ควบคุม เจ้ากี้เจ้าการให้ทำอย่างที่คุณอยากให้เป็น

           การอยู่ห่างไกลกัน ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังอะไรอยู่ แม้จะอยากให้อีกฝ่ายทำอะไรให้เหมือนกับที่คุณอยากให้เขาทำ แต่ก็ไม่ควรจะต้องไปควบคุมเขาให้ทำแบบที่คุณคิดเสมอไป ให้ความไกลหูไกลตา เป็นตัวทดสอบใจคุณ ว่าคุณเองเชื่อใจเขาสักแค่ไหนดูดีกว่า แถมการไม่ควบคุมตามติดแบบนี้ยังทำให้เขารู้ด้วย ว่าคุณเชื่อใจเขาแค่ไหน

6. หาโอกาสมาพบกัน

           หากไม่เกินกำลัง จะเป็นเรื่องที่ดีมากหากคนรักทั้งคู่จะหาโอกาสมาพบเจอกันได้ วันนั้นคงเป็นเหมือนวันที่รอคอย และเป็นรางวัลสำหรับคนทั้งคู่เลยทีเดียว

           รัก ระยะไกลจะรักษาให้มั่นคงได้ไม่ยากเกินไปแน่นอน เพียงคุณต้องเชื่อใจ มั่นคง ไม่หวั่นไหว เพียงเท่านี้แม้กายจะไกล แต่หัวใจคงไม่ห่างกันแน่นอน :) 

Monday, November 14, 2011

อยากเป็นแฟนที่ดี ฟังเรื่องที่ผู้ชายอยากให้ผู้หญิงมี

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          คน เป็นแฟนกัน ใช่ว่าจะถูกตาต้องใจจากเรื่องรูปร่างลักษณะภายนอกเท่านั้น ยังมีคุณสมบัติเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา หรือว่ารอบอกรอบเอวอยู่อีกมากมาย และคุณสมบัติเหล่านั้นยังมัดใจผู้ชายไว้ได้แน่นอีกด้วย นั่น ๆ อยากรู้ล่ะสิว่าจะมีอะไรบ้าง...งั้นลองไปดูกันค่ะ

1. เป็นผู้ฟังที่ดี

          ผู้หญิงขึ้นชื่อว่าเป็นเพศที่ช่างเจรจา จึงมักจะเป็นผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง ผู้ชายเองแม้จะพูดน้อยกว่า แต่ยามที่เขาเอ่ยปาก นั่นหมายความว่าเขาอยากให้มีคนตั้งใจฟังสิ่งที่เขาต้องการจะบอก จริง ๆ คุณอาจไม่ต้องปรับนิสัยการพูดให้น้อยลง แต่เพียงทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมากขึ้น ฟังอย่างใส่ใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงทำท่าว่ากำลังฟังอยู่ แล้วเขาก็จะรับรู้ได้ว่าเขายังมีคนข้าง ๆ ที่คอยรับฟังเขาอยู่เสมอ

2. เป็นตัวของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ

          เวลาอยู่กับเขาสองคน รับรองว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อย อยากเห็นคุณในตัวตนแบบที่คุณเป็นจริง ๆ ถึงแม้ว่าในบางคราวผู้หญิงอย่างเราจะรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจนักก็ตาม แต่กระนั้นขอให้ไม่ต้องอาย หากจะให้เขาเห็นคุณในชุดนอนตัวเก่าที่เปื่อยย้วย เห็นใบหน้าโล้น ๆ ที่ปราศจากเครื่องสำอางบ้าง ร้องคาราโอเกะด้วยเสียงหลงผิดคีย์ หรือเต้นด้วยท่าทางตลก ๆ ฯลฯ ลองหันด้านที่เป็นธรรมชาติของตัวคุณให้เขาเห็น เพราะผู้ชายรักที่จะได้รู้จักตัวตนด้านนั้นของผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น

3. เป็นนักขับที่ดี

          ส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินแต่เสียงบ่นที่คุณผู้ชายมีถึงผู้หญิงว่า "ขับรถไม่ได้เรื่องจริง ๆ" เพราะผู้หญิงมักไม่ค่อยเก่งเรื่องประเภทนี้ แต่หากคุณสามารถเร่งเครื่องพาเจ้าสี่ล้อบิดไปให้ถึงใจได้ รับรองคุณผู้ชายจะอุทาน ว้าว! ด้วยความประทับใจกันเป็นแถว ๆ

4. มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

          ผู้หญิงที่มีความฝัน และมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย จะดูเป็นผู้หญิงที่มีแรงดึงดูดมาก ลองหันกลับมาสำรวจตัวเองดูสิว่า ในตอนนี้คุณได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วหรือยัง หรือกำลังเสียเวลาไปกับสิ่งที่ยังไม่ใช่รึเปล่า? หันมาจับสิ่งที่คุณสนใจแล้วทำมันขึ้นให้เป็นรูปเป็นร่างให้ได้ เพราะอะไรนะเหรอ...ก็ผู้ชายเขาแอบเฝ้ามองและนึกชื่นชมในใจ ยามที่ได้เห็นคุณมุ่งมั่นกับความฝันนะ...จะบอกให้

5. ไม่จุกจิกเรื่องการกินมากเกินไป

          แม้ผู้หญิงจะเอาใจใส่สุขภาพมากกว่าผู้ชาย แต่หากจะให้เอาแต่เลือกกินเฉพาะอาหารชีวจิต ผักปลอดสารพิษ ไม่กินขนมหวาน ไม่ทานของมัน รวมทั้งปฏิเสธเขาทุกครั้งเมื่อถูกชวนออกไปกินมื้อเย็นอย่างพิซซ่า ไก่ทอด หมูกระทะ เนื้อย่าง หรืออื่น ๆ ทั้งหลาย แล้วให้เหตุผลว่า "กลัวอ้วน" จุกจิกเรื่องการกินมากขนาดนี้ ผู้ชายจะชวนออกไปกินอะไรด้วยกันคงไม่แฮปปี้เท่าไหร่แน่นอน

6. ทำอาหารได้

          ต่อให้ผู้ชายบอกว่าถึงคนรักของเขาจะทำอาหารไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่อยากให้คุณทำอาหารให้เขากินนะคะ คำว่า "เสน่ห์ปลายจวัก" ยังคงใช้ได้ผลจริงแม้ในยุคปัจจุบันนี้ ถึงคุณจะไม่เคยทำอาหารมาก่อน แต่หากเขาได้รู้ว่าคุณพยายามฝึกฝนทำอาหารที่เขาชอบล่ะก็ เอาคะแนนรักไปเต็ม 10 เลยแน่นอน

7. ผู้หญิงไม่ห่วงสวย

          ผู้หญิงกับเรื่องความสวยความงามนั้นแยกออกจากกันไม่ได้ แต่สาว ๆ ก็ควรห่วงสวยอย่างพอดี ๆ อย่าทำท่าวิตกเหมือนโลกจะถล่ม ที่แต่งหน้าแต่ไม่ได้ปัดแก้ม กรีดอายไลน์เนอร์ไม่เท่ากัน หรือขนตาตกจนทำเอามาสคาร่าเปื้อนขอบตาล่าง จะบอกให้ว่าเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้บางทีผู้ชายก็ไม่สังเกตเลยด้วยซ้ำ

8. ไม่เอาแต่ใจ ยินยอมผ่อนปรนตาม

          ผู้ชายจะรู้สึกดีหากผู้หญิงของเขาไม่เอาแต่ใจ หรือดื้อดึงจะให้ทุกเรื่องเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ การยินดีที่จะเจรจาหาข้อตกลงที่จะอยู่ตรงกลางพอดี ๆ สำหรับทั้งสองฝ่าย มีเหตุผล ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแบบนี่แหละ ที่จะทำให้ผู้ชายมองคุณน่ารักขึ้นอีกเยอะ

9. แสดงให้เขารู้ว่าคุณแคร์

          ต่อให้ผู้ชายเป็นคนแข็งกระด้างขนาดไหน ไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกว่าเขารู้สึกดี ถ้าผู้หญิงที่เขารักแสดงออกให้รู้ว่าเธอเป็นห่วงเขา นอกจากนี้ อย่าลืมเอ่ยคำว่ารักเขาบ้าง ให้เขาได้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่ระวังอย่าพร่ำเพรื่อพูดบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้คุณค่าของมันดูด้อยลงได้ค่ะ

10. ผู้หญิงสนุกสนานเฮฮา

          ผู้ชายชอบผู้หญิงอารมณ์ดี สนุกสนานเฮฮา เพราะอยู่ใกล้แล้ก็พลอยมีความสุขไปด้วย แถมยังมีแนวโน้ม (ที่เป็นไปได้สูงว่า) คู่รักอารมณ์ดีมักคบกันได้ไกลด้วยนะ

11. รู้จักดูแลตัวเอง

          ผู้ชายชอบผู้หญิงที่รู้จักดูแลตัวเองให้ดูดี ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพราะการที่ผู้หญิงรู้จักดูแลตัวเองให้ดี ก็บ่งให้เห็นว่าเธอน่าจะดูแลเขาให้ดีได้ด้วย

12. เข้มแข็ง

          ผู้ชายนั้นเมื่อรักใคร ก็หมายความว่าเขาพร้อมจะปกป้องดูแลเธอผู้นั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องกลายเป็นคนอ่อนแอ ที่ช่วยตัวเองหรือแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ และต้องรอให้เขายื่นมือเข้ามาช่วยเสมอไป แม้เขาอาจรู้สึกดีที่ได้ปกป้องดูแลคุณ แต่มันคงจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากสาวคนรักของเขานั้น เข้มแข็ง และดูแลตัวเอง เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลมากจนวุ่นวายใจนั่นเอง

          คุณสมบัติง่าย ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่ก็ว่าเป็นสิ่งที่หนุ่ม ๆ อยากให้ผู้หญิงที่เขาชอบมี ถ้าอยากจะเป็นคุณแฟนที่น่ารักยิ่ง ๆ ขึ้นเพื่อเขาล่ะก็ อย่าลืมลองนำไปใช้ดูนะจ๊ะ :)

Saturday, November 12, 2011

คุณค่าของความรัก ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา

ความรัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของ หรือความรู้สึก มันก็ล้วนมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น แต่จะมากหรือน้อยก็คงขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะกำหนดคุณค่าของมัน ให้มีความสำคัญกับชีวิตขนาดไหน เพราะบางสิ่งบางอย่างก็มีค่ากับบางคนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่อีกคนกลับไร้คุณค่าอย่างน่าใจหาย

          เหมือน ๆ กับ "ความรัก" ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้มันมาง่าย ๆ บ่อยครั้งเราก็อาจหลงลืม ละเลยมันไป เพราะคิดเพียงแต่ว่าอะไรที่ได้มาง่าย ๆ มันไม่มีคุณค่า ไม่ต้องใช้ความพยายาม จนเวลาล่วงเลยผ่าน...สุดท้ายต้องสูญเสียไป ถึงจะรู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้หลุดมือ รวมทั้งเริ่มจะมองเห็นถึงคุณค่ามากขนาดไหน ขณะเดียวกัน คนบางคนก็ให้คุณค่าของความรักเกินความจำเป็น จนละเลยตัวเอง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เพราะมัวแต่คอยจะวิ่งตามความรักหรือคนรักอยู่ตลอดเวลา

          ทางที่ดีลองหยุดแล้วหันกลับมาสำรวจตัวเองดูว่า สิ่งที่เราทำลงไปมันดีแล้วใช่ไหม...มันถูกแล้วใช่ไหม...มันใช่แล้วใช่ ไหม...มันมีความสุขใช่ไหม?

          ใช้ สติค่อย ๆ คิดทบทวน ก่อนจะถามใจตัวเองดูว่าอยากเป็นคนที่มีคุณค่าหรือไร้คุณค่า ท้ายที่สุดอย่าลืมว่าความรักไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างทั้งความรู้สึก ความนึกคิด และการกระทำ เราเองเป็นคนเลือกทั้งหมด จะสุขหรือทุกข์ จะยิ้มหรือร้องไห้...ก็เลือกเอาเอง

Friday, November 11, 2011

จริงอยู่

จริงอยู่ที่ ”ความรัก” ต้องเดินควบคู่ไปกับ ”ความอดทน” เพราะการที่คนสองคนคบหากัน หรือแม้แต่การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากทั้ง ความรัก และ ความอดทน เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ นานา ที่เข้ามาเป็นบททดสอบ “ชีวิตรัก” กันทั้งนั้น

แต่อย่าลืมว่า ทุก ๆ สิ่งบนโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ความรู้สึก” ของคน ยิ่งนานวันก็ยิ่งแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะกับเรื่อง “ความรัก” ที่ใช้ “ความอดทน” มาเกี่ยวข้อง เพราะกับบางคนใช้ “ความรู้สึก” ในการนำทาง “หัวใจ” และเมื่อใดที่จู่ ๆ เกิดความรู้สึก “หมดรัก” ทั้งจากที่เจอคนที่รู้สึกใช่กว่า หรือรู้สึกว่าไปด้วยกันไม่ได้ … ”ความอดทน” ก็มักจะหมดลงตามไปด้วย

จากที่เคยอดทนได้กับทุกสิ่งที่ “เขา” หรือ “เธอ” ทำ ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนลดลงมาเรื่อย ๆ
จากที่เคยบอกว่าชอบดูหนังรัก ก็เริ่มอยากดูหนังแอคชั่น
จากที่เคยบอกว่าไม่อยากไปไหนกับเพื่อน ก็เริ่มอยากออกไปสังสรรค์
จากที่เคยบอกว่าเหงา ไม่ชอบอยู่คนเดียว ก็เริ่มอยากมีเวลาส่วนตัว
จากที่เคยมารับทุก ๆ วัน ก็เริ่มหายหน้าหายตาอ้างว่าติดธุระ
จากที่เคยโทรหาวันละหลาย ๆ รอบ ก็เริ่มเหลือวันละรอบ
จากที่เคยอดทนรอเป็นชั่วโมง ๆ เพื่อจะกินข้าวด้วย แต่แค่ 15 นาที ก็เริ่มรอไม่ได้
จากที่เคยยอมตามใจทุกอย่าง ก็เริ่มไม่้สนใจ ไม่ง้อ

และ หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง จนอีกฝ่ายสัมผัสได้ ก็จะเกิดการ ”ทะเลาะเบาแว้ง” ตามมา ซึ่งบางครั้งก็ด้วยเรื่องเดิม ๆ พร้อมกับเหตุผลเดิม ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างนำมากล่าวอ้าง จากนั้นอารมณ์ ”เสียความรู้สึก” ก็จะเริ่มคืบคลานเข้ามาหาทีละนิด ๆ

หากปล่อยให้มันยืดเยื้อนานวันไป เรื่อย ๆ คงมีสักวันที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ความอดทน” หมดลง และระเบิดออกมา จนถึงขั้น “เลิกรา” ดังนั้น หากคุณต้องอยู่เพราะ “อดทน” แล้วแบบนั้นมันเรียกว่า “ความรัก” หรือเปล่า ลองถามใจตัวเองดูดี ๆ นะ
ถ้าใครตอบคำถามได้ว่า รักคนคนหนึ่งเพราะอะไร
นั่นเป็นรักจากสมอง สมองมักมีเหตุผลมีคำตอบ
ในการที่ต้องรัก และอาจไม่ใช่รักแท้
เพราะรักแท้ เป็นรักที่ไม่มีคำตอบ

รักจากความรู้สึก รักเพราะรู้สึกรัก สังเกตง่าย
ถ้ารักจากสมอง ชีวิตรักเหมือนอยู่ในโลกความจริง มักไม่อ่อนหวาน
ทำอะไรก็มีแผนการ มีเหตุผล มีคำอธิบายร้อยแปด

ต่างจากรักที่มาจากความรู้สึก ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝัน
อ่อนหวาน อบอุ่น ใช้หัวใจในการตัดสิน กลายเป็นคนไม่มีสมอง...

ถ้าใครบอกว่ารักคุณเพราะอะไร
พึงจำไว้ว่ารักแท้จะไม่มีเหตุผล จะไม่มีคำว่าอะไร มาทำให้รัก
เพราะถ้าบอกว่ารัก เพราะคุณสวย เมื่อความสวยหมด อาจเลิกรักได้
หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคนดี
วันหนึ่งก็อ้างได้ว่า ตอนนั้นเห็นคุณเป็นคนดีได้อย่างไร...
หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคุณ ก็คงเบื่อที่จะหาคำอื่นมาพูด คำนี้ใช้ง่ายที่สุด...

จงฟังคนที่บอกว่า รักคุณ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรัก
นั่นเเสดงว่าใช้หัวใจรัก ไม่ว่าวันข้างหน้า คุณจะเป็นอย่างไร
หัวใจก็จะยังไม่มีเหตุผลในการรักอยู่ดี

จะเลือกคนที่ใช้หัวใจรัก หรือคนที่ใช้สมองรัก...ขึ้นอยู่กับคุณ

แต่ก็มีคนส่วนหนึ่ง บอกว่า...

"รักใคร ให้รักด้วยสมอง อย่ารักด้วยหัวใจ

ปัจจัยที่ชีวิตคู่ยืนยาว...มีอีกมากนอกจาก...ความรัก"

credit  ปาคาบza@ google guru

Saturday, November 5, 2011

ไปชม ซุ้มดอกไม้งานแต่ง หลากหลายสไตล์










เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  weddingwire.com, atlantaevents.biz และ brideorama.com

         ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีบ่าวสาวหลายคู่หันไปพึงพาวัสดุอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกโป่ง หรือผ้าสีสันสดใส มาประดับตกแต่งเป็นฉากหลัง (Backdrop) สำหรับใช้เป็นสถานที่ที่แขกผู้มีเกียรติจะร่วมถ่ายภาพคู่กับบ่าวสาว แต่ "ซุ้มดอกไม้" ก็ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย

         อาจ เพราะ "ดอกไม้" ช่วยสร้างสีสันให้งานแต่งงานและดูสดชื่น และมีกลิ่นอายหอมหวานของความโรแมนติกตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บ่าวสาวหลาย ๆ คู่จึงบรรจงคัดสรรดอกไม้ตามแบบชนิดที่ตัวเองชื่นชอบ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกลิลลี่ ดอกกล้วยไม้ ดอกคาเนชั่น ดอกคัดเตอร์ ฯลฯ นำมาประดับตกแต่งงานให้งดงามตรงกับธีมของงาน

         โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ซุ้มดอกไม้งานแต่ง" ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งก็ว่า ดังนั้น วันนี้ กระปุกเวดดิ้งเลยขอนำเอา ซุ้มดอกไม้งานแต่งงาน หลากแบบหลายสไตล์มาแนะนำกันค่ะ เผื่อเป็นไอดียแจ่ม ๆ สำหรับบ่าวสาวที่ยังคิดไม่ตกว่าจะออกแบบซุ้มดอกไม้งานแต่งงานสไตล์ไหนดี...