Tuesday, November 20, 2012

จุดร่วมที่ดีที่สุด ของมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิง

จุดร่วมที่ดีที่สุด ของมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิง


จุดร่วม...ของมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้หญิง (ใยไหม)


ผู้เขียน : TARO


          เมื่อคนสองคนต่างมีความต้องการไม่เหมือนกัน การให้อิสระแต่ก็เดินเคียงข้างกันไป คือ จุดร่วมที่ดีที่สุด
          สำหรับมนุษย์ผู้ชาย...สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ อิสระ
          สำหรับมนุษย์ผู้หญิง...สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต คือ การได้เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้าง โดยไม่คิดหนีห่างไปไหนไกล


          แต่แปลกดีที่ผู้หญิงหลายคนมักตีความว่าอิสระของผู้ชาย คือ การตีตัวออกห่าง และผู้ชายหลายคนก็มักตีความว่า การเห็นคนรักอยู่เคียงข้างของผู้หญิง หมายถึงการผูกมัดไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน ทั้ง ๆ ที่หากพิจารณาดูให้ดี เส้น ทางอันแท้จริงของความรักระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้หญิง คือการประนีประนอม คือการรอมชอมให้ทุก ๆ สิ่งที่เป็น ทุก ๆ สิ่งที่คิด พูด ทำ ได้มีพื้นที่ว่างตรงกลาง หาใช่การตีตัวออกห่างหรือการผูกมัด

          เมื่อไหร่ก็ตามที่คนสองคนต่างตีความผิดเพี้ยนไป ความรักก็จะกลายเป็น "ความรำคาญเล็ก ๆ" ที่มีสิทธิ์เป็น "ความรำคาญใหญ่ ๆ" ได้เสมอ

          ในฐานะผู้ชาย...ควรจะทำอย่างไร?
          ในฐานะผู้หญิง...ควรจะแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีไหนดี?


          คำตอบ คือ ความรัก ไม่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางความรำคาญ แต่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรง ท่ามกลางจุดร่วมที่ยอมรับกันได้

          จุดร่วม คือ การให้อิสระ ในขณะที่เดินเคียงข้างกันไป เธอเดินเคียงฉัน...แต่เธอก็คิด พูด ทำ ในแบบของเธอ ฉันเดินเคียงเธอ...แต่ฉันก็คิด พูด ทำ ในแบบของฉัน

          ต่างฝ่ายต่างแบ่งปันพื้นที่ว่าง ที่ไม่กว้างจนเกินไป และไม่บีบรัด "หัวใจ" จนทำให้อึดอัด ความ รักจึงเปรียบได้ดั่งความโล่งสบาย คล้าย ๆ นั่งอยู่บนโซฟานุ่ม ๆ ที่ตั้งวางไว้ในห้องที่แสงส่องผ่านเข้ามาถึง มีหน้าต่างหลาย ๆ บาน ที่มองออกไปแล้วเห็นท้องฟ้าสีฟ้า เห็นนกบินโฉบมาเกาะขอบหน้าต่าง และสัมผัสสายลมพลิ้วผ่านพอให้เย็นชื่นใจ
          คนสองคนมีความสุขร่วมกันบนโซฟานี้ได้ โดยไม่ต้องพยายามนั่งตักกัน คนสองคนสูดอากาศบริสุทธิ์จากสายลมเย็นร่วมกันได้ โดยไม่ต้องสูดจากจมูกเดียวกันเมื่อไหร่ที่หาจุดร่วมของความรักได้จนเจอ เมื่อนั้นมนุษย์ผู้ชาย...จะยิ้มให้กับความรักได้ง่ายขึ้น และมนุษย์ผู้หญิง...จะยิ้มให้กับความรักได้กว้างขึ้น เป็นการค้นพบเคล็ดลับที่ทำให้เราปิ๊งแวบขึ้นมาได้ว่า จะทำให้ความรักยุ่งยากขึ้นไปอีกทำไม...ก็ไม่รู้!

ผู้หญิงแบบไหน ที่ผู้ชายอย่างเราต้องขอบาย

ผู้หญิงแบบไหน ที่ผู้ชายอย่างเราต้องขอบาย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แน่ นอนว่าโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟคท์ไปเสียหมด และแฟนของเราก็ไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนที่จะไม่มีข้อเสียอะไรกับเขาเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะต้องมีส่วนที่คุณไม่ชอบอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี ข้อเสียบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เกินรับได้เช่นกัน เพราะมันส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ของคุณโดยตรง และจะทำให้คุณรู้สึกแย่เวลาที่ต้องอยู่กับผู้หญิงที่มีข้อเสียพวกนั้นเสีย เปล่า ๆ ดังนั้นก่อนจะคิดจริงจังกับสาวคนไหนก็พิจารณาดี ๆ ก่อนนะครับว่าเธอมีข้อเสียเหลือรับในการเป็นแฟนแบบที่เรานำมาฝากบ้างหรือ เปล่า

 1. คุณต้องคอยเป็นผู้ตามตลอดเวลา
          จริง อยู่ว่าสมัยนี้ผู้หญิงมีบทบาทในสังคมมากขึ้น และมีผู้หญิงมากมายที่มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ผู้ชาย เราจึงไม่ต้องคอยเป็นผู้นำให้เธอตลอดเวลาอีกต่อไป แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรเป็นผู้ตามตลอดเวลาเสียหน่อย เพราะคุณควรได้มีส่วนร่วมในการคิดตัดสินใจสิ่งต่างๆ ด้วยกันทั้งคู่ต่างหาก ซึ่งถ้าสาวที่คุณคบอยู่เป็นจอมบงการที่คอยบังคับให้คุณทำตามใจเธอไปซะหมด ทุกอย่าง ก็รีบชิ่งไปซะตอนนี้เลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเป็นทาสรับใช้เธอไปตลอดชีวิตเลยก็ได้นะ

2. แดกดันต่อหน้าคนอื่นเป็นประจำ

          ถ้า แค่ล้อเล่นขำ ๆ นาน ๆ ครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเธอคอยพูดจาดูถูกคุณต่อหน้าคนอื่นเป็นประจำนี่สิ แบบนี้คงไม่น่าคบต่อไปแล้วล่ะมั้ง เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่าเธอไม่ได้ให้เกียรติคุณเลยสักนิด ถึงได้ไม่รู้จักไว้หน้ากันแบบนี้ อีกทั้งยังไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองอีกด้วย ดังนั้นถ้าคุณยังรักตัวเองอยู่บ้าง ก็ควรเชื่อมั่นว่าจะได้เจอคนที่เห็นคุณค่าของคุณมากกว่านี้ แล้วเลือกรักคนที่คู่ควรกับความรักของคุณจะดีกว่า

3. เธอดึงส่วนเลวร้ายของคุณออกมาได้เสมอ

          คุณ ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นคนโมโหร้ายหรือติดเหล้าขนาดไหน จนกระทั่งได้มาเจอกับเธอ ที่คอยชวนออกไปดื่มหรือปั่นหัวคุณจนแทบเสียสติอยู่เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะคบกับใครมาก่อนคุณก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ควรเลิกกับเธอไปซะดีกว่า เพราะขืนคบต่อไปก็อาจทำให้คุณเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในแบบที่ไม่อยากเป็น จนไม่อาจแก้ไขอะไรได้แล้ว

ผู้หญิงแบบไหน ที่ผู้ชายอย่างเราต้องขอบาย

4. มารยาร้อยเล่มเกวียน

          เป็น ธรรมดาที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีจริตมารยาติดตัวกันบ้าง แต่ถ้าเธองัดมันมาใช้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไปซะทุกทีก็ไม่ไหวนะ เพราะถ้าเวลาเธออยากให้เรายกเลิกนัดกับเพื่อน ๆ แต่ละทีก็ร้องไห้ฟูมฟายให้เราแพ้น้ำตาอยู่ทุกครั้ง ก็คงน่าปวดหัวอยู่เหมือนกัน แถมยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็กเอาแต่ใจที่อยากได้อะไรก็ต้องได้อีกด้วย แบบนี้แล้วให้คอยตามใจไปตลอดชีวิตคงไม่ไหวหรอก

5. ไม่เอาใจใส่กันบ้างเลย

          ผู้หญิง บางคนอาจไม่ถนัดพูดหวาน ๆ หรือคอยเอาอกเอาใจมากนัก แต่อย่างน้อยเธอก็ควรจะรู้จักแสดงความห่วงใยออกมาให้เราได้ชื่นใจบ้างก็ยัง ดี เช่น คอยดูแลเวลาที่คุณป่วย หรือสังเกตเวลาที่คุณมีเรื่องเครียดได้ เป็นต้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงทำให้เหงายิ่งกว่าตอนเป็นโสดเสียอีก เพราะมีคนรักที่ไม่ใส่ใจกันจะยิ่งทำให้เราผิดหวังเสียมากกว่า

          เชื่อ เถอะครับว่าการเลือกคบคนจากนิสัยส่วนตัวของเขาก็เป็นเรื่องที่สำคัญด้วย เหมือนกัน หากปล่อยให้ความรักบังตาจนยอมไปซะทุกเรื่อง สุดท้ายแล้วคุณก็คงไม่มีความสุข เพราะความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ในยามสุขก็ควรสุขทั้งสองฝ่าย ยามทุกข์ก็ควรช่วยกันแบ่งเบาให้เบาลง ไม่ใช่ยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคอยเอาเปรียบอยู่ร่ำไป จริงไหม...

Monday, November 19, 2012

เปลือยใจผู้ชาย 5 ความจริงที่สาว ๆ ควรรู้

เปลือยใจผู้ชาย 5 ความจริงที่สาว ๆ ควรรู้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผู้ชายหลาย ๆ คนมักจะกล่าวว่าผู้หญิงเป็นอาร์ตตัวแม่ เพราะเข้าใจยาก และอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ทั้ง ที่จริงแล้วผู้ชายก็ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงสักเท่าไหร่เลย เพราะมักจะใช้ความเงียบสงบสยบทุกสถานการณ์ อ่านใจยากไม่แพ้กัน และถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ ก็คงไม่มีวันพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา ซึ่งความแตกต่างทางความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้คู่รักต้องทะเลาะกันบ่อย ๆ ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยนำความในใจของผู้ชายมาเปิดเผยกัน มาดูกันสิว่าผู้ชายเขาคิดอะไรกันบ้าง

1. ข้อความในโทรศัพท์สำคัญแค่ช่วงแรกเท่านั้น

           สาวทั้ง ๆ หลายที่เคยเกิดอาการหงุดหงิดใจ เพราะแฟนไม่ค่อยส่งข้อความหวาน ๆ ซึ้ง ๆ มาให้เหมือนเมื่อก่อน หรือตอบข้อความกลับมาทันทีเหมือนเมื่อช่วงแรก ๆ ที่รู้จักกัน ก็รู้ไว้เลยว่าที่เขาทำไปก็เพื่อเอาชนะใจคุณเท่านั้น และเมื่อเริ่มคบหากันแบบจริงจังแล้ว เขาก็อยากจะหันไปสนใจ และให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ๆ บ้างเท่านั้นเอง

2. คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ

          ในขณะที่ผู้หญิงชอบให้แฟนบอกรัก แต่รู้หรือเปล่าว่าผู้ชายเขาไม่ค่อยชอบพูดคำหวานแหววสักเท่าไหร่ ถ้าคุณอยากจะรู้จริง ๆ ให้พิสูจน์จากการกระทำของเขาดีกว่า อย่างเช่น การพาคุณไปทานร้านอาหารสุดอร่อย ดูแลคุณตอนไม่สบาย หรือซื้อขนมมาฝาก รวมไปถึงเรื่องเล็กน้อยต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่แสดงให้เห็นว่าเขารักคุณ ซึ่งบางคนอาจจะได้รับจนกลายเป็นเคยชินไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้รักคุณแล้วยังไงล่ะ

3. ความสุขของเขาคือรอยยิ้มของคุณ

          บางครั้งแฟนของคุณก็ไม่สามารถรู้ใจคุณได้ทั้งหมดหรอก ดังนั้น หากคุณอยากจะให้เขาทำอะไรหรือต้องการสิ่งใด ก็ควรจะบอกเขาไปตรง ๆ เลย เพราะเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคุณอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเขาทำสิ่งนั้นให้แล้ว คุณก็ควรจะชื่นชมตัวเขาด้วย เพราะคำพูดของคุณเป็นเหมือนแรงบันดาลให้เขาเพื่อคุณทำต่อไป

4. ผู้ชายไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่คิด

          โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องอยู่ห่างจากคุณหรือเลิกกับคุณ ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนหัวแข็ง หรือดึงดันแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองรักเดินจากไปหรอก เพราะในใจลึก ๆ แล้วเขาก็รู้สึกผูกพันกับคุณอยู่ไม่น้อยเลย ดังนั้น หากมีเรื่องบาดหมางหรือทะเลาะกัน ในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายผิด ก็แค่ขอโทษเขาก่อน ในทางกลับกันหากเขาเป็นฝ่ายผิดคุณก็แค่ให้อภัยเขาเท่านั้น เรื่องทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดีและไม่เสียน้ำตา

5. ปล่อยให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง

          เพราะธรรมชาติของผู้ชาย ชอบความอิสระ ผูกพันได้แต่ต้องไม่ผูกมัดจนเกินไป และการที่ผู้หญิงโทรตาม ส่งข้อความไปหาบ่อย ๆ หรือเช็กความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ก ก็ถือเป็นการตัดอิสระของเขาเช่นกัน ดังนั้น หากคุณรักใครสักคนก็ควรปล่อยให้เขาออกไปกับเพื่อน หรือทำอะไรที่เขาชอบโดยไม่มีคุณบ้าง อีกทั้งไม่ควรยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขามากจนเกินไป เพราะจะทำให้เขารู้สึกอัดอัดเสียเปล่า ๆ นะ

          ตอน นี้สาว ๆ ก็ทราบความในใจของผู้ชายกันไปแล้ว หวังว่าสิ่งที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ คงจะทำให้คุณเข้าใจผู้ชายกันมากขึ้น และครองรักกันอย่างมีความสุขมากขึ้นนะคะ 

เพื่อนร่วมงาน 7 ประเภทที่ไม่ควรคบหา

เพื่อนร่วมงาน 7 ประเภทที่ไม่ควรคบหา

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


         ใน ชีวิตการทำงาน คนเราต้องทำความรู้จักกับเพื่่อนร่วมงานมากมาย ทั้งในแผนกและนอกแผนกแล้วแต่ความจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนร่วมงานนี่แหละที่จะกลายเป็นเพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน และมีอิทธิพลกับเรามากที่สุด

          แต่เคยได้ยินไหมว่า "คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล" ดังนั้น การเลือกคบเพื่อนร่วมงานที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะบางทีมันก็ส่งผลกับชีวิตการทำงานของเราด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยหยิบเรื่องราวของเพื่อนร่วมงาน 7 ประเภทที่คุณไม่ควรคบหามาฝากกัน ว่าแล้วก็ไปดูกันว่าคุณมีเพื่อนร่วมงานในลักษณะนี้ อยู่รอบตัวหรือไม่
         1. มองโลกในแง่ร้าย คาดเดาผลของการลงมือทำอะไรหลายอย่างว่ามันจะออกมาในแง่ร้ายไปซะหมด โดยใช้ประสบการณ์แย่ ๆ หรือความล้มเหลวของตัวเองมาเป็นตัวตัดสิน แล้วก็พาลคิดว่าเมื่อตัวเองทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ก็คงไม่มีใครทำได้เช่นกัน คนประเภทนี้ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไรก็ตาม พวกเขาจะคอยห้ามคุณ โดยอ้างว่าเขาเคยทำมาแล้วและมันทำไม่ได้ ซึ่งถ้าหากคุณเชื่อพวกเขาเมื่่อไร คุณก็จะไม่มีโอกาสได้ลองทำอะไรเลย ดังนั้น อยู่ห่างจากคนประเภทนี้เสีย คุณไม่จำเป็นต้องมีพวกเขาเลยในชีวิต หันหน้าคบหาแต่คนที่พร้อมจะให้คำแนะนำ และพร้อมจะแก้ปัญหาเมื่อคุณเจอปัญหาดีกว่า

         2. ยกย่องชื่นชมเกินความจริง หรือก็คือพวกที่ชอบยกยอปอปั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไร เขาก็มักจะออกปากว่าทุกความคิดของคุณนั้นเจ๋ง มหัศจรรย์ สุดยอด และเป็นที่สุดในโลก ไม่มีใครเทียบเทียมได้ เรียกว่าคำชมแต่ละคำของพวกเขาโอเวอร์เกินความเป็นจริงมาก คนประเภทนี้จะคบหาก็ได้ไม่เสียหาย แต่ขอย้ำว่าอย่าไปเอาคำชมของเขามาใส่ใจเด็ดขาดเชียว เพราะถึงแม้จะเป็นคำพูดที่ทำให้คุณรู้สึกดี แต่ถ้าเอามาใส่ใจมาก ๆ อาจทำให้คุณแอบหลงตัวเอง จนพาลหยุดพัฒนาตัวเองไปโดยไม่รู้ตัวได้ อย่าลืมว่าคำชมสวยหรูใครก็พูดได้ แต่คำแนะนำให้คุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นนี่สิ มันพูดกันยากนะ จะมีก็แต่คนที่หวังดีกับคุณจริง ๆ เท่านั้นแหละ

เพื่อนร่วมงาน 7 ประเภทที่ไม่ควรคบหา

         3. ช่างซุบซิบนินทา นอกจากเรื่องการทำงานแล้ว คนประเภทนี้ยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นงานอดิเรก พวกเขาจะคอยค้นหาเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของคนอื่น แม้จะรู้ความจริงบ้าง คาดเดาไปสุ่มสี่สุ่มห้าบ้าง แต่สุดท้ายก็จะเอามาเรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราวซุบซิบให้คนนู้นคนนี้ฟัง คนประเภทนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหนก็ต้องระวังให้ดีเชียวล่ะ เพราะเขาก็พร้อมจะเอาเรื่องของคุณไปซุบซิบนินทาได้เช่นกัน ดังนั้น คบหาแต่คนที่พูดแต่เรื่องความคิด เรื่องราว และความรู้สึกของตัวเขาเองดีกว่า เพราะมันเป็นความจริงล้วน ๆ ไม่ใช่เรื่องซุบซิบแต่อย่างใด

         4. ทำดีต่อหน้า แต่แอบแทงข้างหลัง คนประเภทนี้มักจะเนียนเข้ามาในชีวิตของเราในฐานะของเพื่อนร่วมงานที่แสนจริง ใจ มีอะไรก็พูดกันได้ทุกเรื่อง ทำงานก็ช่วยกันคิด จนบางครั้งก็ดูแสนดีเกินเหตุ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเข้ามาเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เช่น อยากตีสนิทเพื่อล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณไปแฉ หรือคิดงานร่วมกัน แต่เอาไปแอบอ้างว่าเป็นความคิดของตัวเอง ดังนั้น ควรระวังเพื่อนร่วมงานที่แสนดีเกินเหตุเหล่านี้เอาไว้บ้าง โดยเฉพาะคนที่เข้ามาสนิทกับคุณแบบรวดเร็ว จำไว้เลยว่าไม่ว่าความสัมพันธ์รูปแบบไหนก็ต้องการเวลาในการเรียนรู้เพื่อให้ แน่ใจก่อนเสมอ

         5. เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางของจักรวาล คนประเภทนี้มีอีโก้สูง ไม่ค่อยยอมฟังความคิดเห็นจากคนอื่นเท่าไร เพราะคิดว่าความคิดตัวเองดีที่สุด เจ๋งที่สุดแล้ว เขาจึงสวมบทบาทของเจ้าของความคิด ตั้งตัวเป็นหลักของทีมแล้วให้คนอื่นทำตามที่ตัวเองบอก ดังนั้น ถ้าหากเลี่ยงได้ ก็อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเลย

         6. ชอบทำความรู้จักคนเยอะ ๆ คนประเภทนี้ การสร้างคอนเนคชั่นสำคัญกว่าการทำความรู้จักใครสักคนอย่างลึกซึ้ง พวกเขาจะเก็บสะสมจำนวนคนรู้จัก ไว้ประสานขอความช่วยเหลือต่าง ๆ แต่จะไม่เรียนรู้ใครอย่างลึกซึ้งเลย ดังนั้น จงปล่อยให้พวกเขาได้สะสมจำนวนคนในเครือข่ายของพวกเขาต่อไป อย่าได้ไปใส่ใจ หรือเอาเข้ามาวุ่นวายในชีวิต เพราะคนประเภทนี้ไม่ได้ต้องการจะรู้จักกับคุณจริง ๆ หรอก

         7. ทำงานไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมาย คนประเภทนี้จะใช้ชีวิตแบบตามหน้าที่ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแบบแผนอะไรเลยในชีวิต แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี ตรงที่คุณไม่ต้องคิดอะไรมากเมื่ออยู่กับพวกเขา ก็เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไม่ต้องกังวลอะไร แต่เชื่อไหม การเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนประเภทนี้ จะทำให้คุณกลายเป็นคนเฉื่อย ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่มีเป้าหมายของชีวิตเช่นเดียวกับพวกเขานั่นแหละ

         เอ้า!... อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คราวนี้ก็ถึงทีคุณ ๆ ต้องถามตัวเองแล้วล่ะว่า คุณมีเพื่อนร่วมงานคนไหนที่ควรเลิกใส่ใจ สนใจ หรือให้เข้ามาอยู่ในชีวิตของคุณหรือเปล่า

Saturday, November 17, 2012

เหตุผลว่าทำไม บางครั้งเราถึงต้องยอมให้คนรักบ้าง

เหตุผลว่าทำไม บางครั้งเราถึงต้องยอมให้คนรักบ้าง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          คน รักกันก็เหมือนลิ้นกับฟัน ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา เพราะคนสองคนต่างที่มาต่างสังคมเมื่อมาอยู่ด้วยกันก็ต้องมีหลายสิ่งที่ต้อง ปรับจูนเข้าหากัน ทว่าถึงจะต่างกันแค่ไหน แต่ก็ต้องรู้จักประณีประนอมรอมชอมกันไป บางครั้งคุณก็ต้องยอมลงให้อีกฝ่ายบ้าง เพื่อให้ที่ความรักยังคงราบรื่นไปจนถึงปลายทาง แต่หนุ่ม ๆ หลายคนก็คงจะเถียงอยู่ในใจ "แล้วทำไมเราต้องเป็นฝ่ายยอมให้ด้วยล่ะ" บางทีเรื่องมันอาจจะคล้าย ๆ กับสถานการณ์อย่างนี้ก็ได้นะ ..

          หาก มีโจทย์มาว่าให้คู่รักชายหญิงคู่หนึ่งทำอาหารชนิดเดียวกัน (สมมุติว่าเป็น ข้าวผัด ก็แล้วกัน) ผู้ชายทำข้าวผัดใส่ซีอิ๊วขาว ส่วนผู้หญิงทำข้าวผัดใส่ซอสมะเขือเทศ แบบนี้เราจะตัดสินได้ไหมว่าจานไหนคือ ข้าวผัดที่ถูกต้อง? ถ้าตอบตามความพอใจ คำตอบที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของคนกิน แต่ถ้าถามว่าทั้งสองจานนั้นเป็นข้าวผัดเหมือนกันไหน ก็ยังคงต้องตอบว่า "ใช่" เพราะ เรื่องความแตกต่างของส่วนผสมแบบนี้ ไม่ถือว่ามีใครถูกใครผิด สุดท้ายแล้วเมนูที่ได้ก็ยังคงออกมาตรงตามโจทย์อยู่ดี ไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกันคอเป็นเอ็น เพื่อบอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องที่สุด บางครั้งก็ต้องมีรอมชอมประณีประนอมกันบ้าง เหมือนกับหลาย ๆ เรื่องในความรักนั่นแหละ ที่จะต้องมีการยอมให้กันและกันบ้าง เพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้ยังคงดำรงอยู่ได้ต่อไป และสำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชอบเอาชนะ ให้ตัวเองถือไพ่เหนือกว่าอยู่เสมอ และไม่ค่อยเห็นคุณความดีของการยอมให้คนรักดูสักที ลองมาดูกันชัด ๆ อีกหน่อยแล้วกันว่า ทำไมคุณถึงควรยอมรอมชอมกับคนรักบ้าง...

 1. เพราะขนาดเพื่อนกันก็ยังยอมให้กันได้เลย
          จะ เป็นไปได้หรือที่คุณกับเพื่อนที่สนิทที่สุด จะไม่เคยมีความเห็นแตกต่างกันเลย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม แล้วทำไมถึงยังคบกันซี้ปึ้กมาได้จนถึงทุกวันนี้ล่ะ นั่นก็เพราะว่าบางครั้งคุณก็ยอมให้เพื่อน บางครั้งเพื่อนก็ยังยอมลงให้คุณเลยนั่นไงล่ะ

          ลอง หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่คุณต้องยอมลงให้เพื่อนดูสักครั้งหนึ่งสิ ในวันนี้เมื่อกลับมาคิดใหม่ คุณเสียใจหรือเปล่าที่ตัดสินใจไปเช่นนั้น หากย้อนเวลาไปได้แล้วจะเปลี่ยนใจไหม เรื่องที่เถียงกันจะเป็นจะตายในตอนนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วคุณยังมองว่ามันสลักสำคัญถึงขนาดนั้นอยู่หรือเปล่า หลาย ๆ ครั้งทีเดียว ที่เรามองเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปอะไร ๆ ก็ดูคลี่คลาย และทำให้พบว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือคอขาดบาดตายอย่างที่เคยรู้สึกสักหน่อย ที่ยอมให้เพื่อนวันนั้นไปคนละครึ่งทาง...ก็ดีแล้ว

          เหมือน กับความรักนั่นแหละ คนที่รักกันสองคนไม่ได้รู้สึกอะไรเหมือน ๆ กันไปหมดทุกครั้งหรอก ต่างคนก็ต่างความคิด จะแย้งกันบ้างก็ไม่แปลกอะไร และในเมื่อคุณเห็นต่างกับเพื่อนแล้ว ยังเคยยอมรอมชอมให้ แล้วทำไมจะยอมให้กับคนรักบ้างไม่ได้ล่ะ

2. คุณมั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก (ทุกครั้ง) หรือ?

          คุณมั่นใจหรือไม่ว่าทุก ๆ ครั้งสิ่งที่คุณคิด หรือสิ่งที่ทำ คุณทำในสิ่งที่ถูกต้องแน่นอนแล้วเสมอ ที่ต้องย้ำว่า "ถูกต้องแน่นอนแล้ว" ก็ เพราะว่า คนเรามักมีแนวโน้มคิดโดยยึดตัวเองเป็นหลักเสมอ ถ้าเราเห็นว่ามันเหมาะสม สมควรแล้ว มันย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปก็ได้ บางครั้งคุณยังหาเหตุผลมาสนับสนุนให้เธอเข้าใจไม่ได้ด้วยซ้ำ (แล้วก็จะหาว่าเธอไม่เปิดใจ) ซึ่งมันก็อาจเป็นเพราะตัวคุณนั่นแหละ ที่ทึกทักดื้อดึงไปว่าตัวเองต้องถูกเสมอ จนไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ มาค้านได้ว่า ความจริงแล้วมันถูกอย่างไร เมื่อใดที่คุณรู้สึกเช่นนี้ น่าจะหมายความว่าคุณกำลังดันทุรังอยากจะเอาชนะมากกว่า ถ้ามีสติรู้เท่าทันตัวเองล่ะก็ ยอมให้เธอบ้างในกรณีแบบนี้จะดีกว่านะ

เหตุผลว่าทำไม บางครั้งเราถึงต้องยอมให้คนรักบ้าง

3. ถ้าคุณไม่ปรารถนารับฟังความคิดของเธอ  นั่นแสดงว่าคุณมีความกลัวอะไรบางอย่าง

          อีก หนึ่งความกลัวของคนเรา คือการกลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายผิด กลัวว่าจะเสียหน้า กลัวว่าจะถูกล้อเลียน และกลัวการสูญเสียตัวตนที่ยึดถือมาตลอด แต่ความกลัวนี้ไม่ควรถูกนำมาใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ความกลัวของคุณกำลังทำให้เธอรู้สึกอึดอัด และทำให้ความสัมพันธ์ของคุณง่อนแง่น จำเป็นแล้วหรือที่คุณจะต้องถือไพ่เหนือกว่าคนรักตลอดเวลา คุณต้องเป็นคนตัดสินใจและให้เธอเป็นผู้ตาม บางทีคนเราก็มีฝั่งด้านที่ไร้เหตุผลอย่างเหลือเชื่อซุกซ่อนตัวอยู่ คุณจะค้นพบและกำจัดมันไปได้ หากว่าคุณรู้จักเปิดใจและยอมให้เธอที่คิดไม่เหมือนกับคุณดูบ้าง

4. การรู้จักประณีประนอมจะช่วยคุณได้มาก ในกิจการที่ต้องติดต่อกับคนอื่น

          การ ประณีประนอมยอมรับความคิดเห็นของคนรัก จะช่วยสอนและฝึกคุณให้เก่งในงานได้ หากว่าเป็นการงานประเภทที่ต้องทำการติดต่อกับคนอื่น ๆ หรือแม้แต่การประชุมระดมความคิดสำหรับโปรเจคท์ใด ๆ อย่างหนึ่งก็ตาม อันดับแรก มันจะค่อย ๆ เกลาให้คุณรู้จักพูดเพื่ออธิบายเหตุผลตัวเองให้คนอื่นรับฟัง ต่อมาจึงเกลาให้คุณรู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพื่อผลการทำงานที่บรรลุเป้าหมายอย่างสวยงาม และยังคงยืนหยัดอยู่ได้ แม้ว่าความคิดของตนจะไม่ได้รับการพิจารณา ไม่อยากจะบอกว่านี่เป็นเรื่องที่นักธุรกิจหลาย ๆ คน ต้องจ่ายเงินซื้อคอร์สอบรมแพง ๆ เพื่อพัฒนาบุคลิกและทัศนคติของตนในด้านนี้โดยเฉพาะ แต่คุณสามารถพัฒนาตัวเองได้แบบฟรี ๆ แค่รู้จักประณีประนอมยอมให้กับคนรักบ้างเท่านั้นเอง

          แค่ คิดดูให้รอบคอบว่าถ้าเป็นเรื่องที่ยอมให้ได้แล้วไม่น่าทำให้มีอะไรเสียหาย ก็ยอม ๆ เธอไปบ้างก็ได้นะ คิดเสียว่าทีเขาทีเรา อย่ารั้นจะเอาชนะแต่เพียงอย่างเดียว แล้วคุณจะได้เป็นคนรักที่น่ารักมาก ๆ ของเธอยังไงล่ะ

สิ่งที่ต้องก้าวข้าม ก่อนจะถึงความเข้าใจ

สิ่งที่ต้องก้าวข้าม ก่อนจะถึงความเข้าใจ

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          เป็นเรื่องธรรมดาที่กว่าคู่รักจะพบกับโลกสีชมพู ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งการปรับตัว การเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ รวมถึงการเข้าใจและยอมรับ ฯลฯ ซึ่งบางคู่ก็ผ่านสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาได้ แต่บางคู่ก็เลือกที่จะเดินจากกันเพื่อไปพบเจอกับโลกสีชมพูใบใหม่ที่อาจจะ เข้ากันดีกว่า และสำหรับคนที่อยากจะพยายามจับจูงกันไปเพื่อให้ถึงโลกสีชมพูอย่างที่ฝัน วันนี้กระปุกดอทคอมหยิบเอาข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับความรักจากหนังสือ รักเราต้องเท่ากัน เขียนโดย Cartoon มาฝากกันค่ะ

          "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมักมีเรื่องโกหก ยิ่งรักมาก ยิ่งโกหกมาก สุดท้าย...ทั้งคนที่พูดโกหกและคนที่ฟังเรื่องโกหก ต่างก็ต้องเจ็บปวด"

          สิ่งที่ต้องก้าวข้ามก่อนจะถึงความเข้าใจ คือ ความกลัวว่าคนที่เรารักจะรับไม่ได้ในบางสิ่งที่เราเป็น ความกลัวที่จะสูญเสียความรัก จะบีบบังคับให้เราต้องโกหก และบีบบังคับให้คนที่เรารักต้องฟังเรื่องโกหก
          ถ้ากล้าเปิดใจก็ต้องกล้าเปิดเผยบางมุมของชีวิต ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นมุมที่น่าเกลียด ซึ่งความจริงแล้วมันอาจเป็นมุมที่คนอื่นคิดว่าน่ารัก หรือเป็นมุมที่คนอื่นคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางครั้งโลกก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เราหวัง เพราะมุมที่เราคิดว่ามันน่าเกลียดแล้ว แต่ความจริงมันกลับยิ่งน่าเกลียด...ในความรู้สึกของคนอื่น

          เคยมีคนบอกว่า...ตอนเริ่มต้นความรัก ต้องสร้างภาพชีวิตให้สวยงามสักนิด เพื่อให้เขาก้าวเข้ามาในโลกของเราก่อน แล้วค่อย ๆ แง้มประตู เปิดเผยให้เห็นห้องต่าง ๆ อย่างช้า ๆ เพราะคงไม่มีใครอยากก้าวเข้ามาในโลกที่แค่มองไกล ๆ ก็มีแต่ความวุ่นวาย

          ถ้า เขาไม่กล้าเข้ามาตั้งแต่แรก มันอาจจะดีกว่าสร้างภาพมายาให้เขาเดินเข้ามา เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าช้าหรือเร็ว ถ้าความรักไม่มากพอที่จะทำให้เขายอมรับในความจริงที่เป็น เขาก็จะดิ้นรนหาทางหนีออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเปรอะเปื้อนอยู่ในหัวใจเรา

สุขใจรายวัน กับ 9 สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณแฮปปี้ขึ้น

ความสุข

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใคร ที่ใช้ชีวิตเก่ง ๆ จะรู้ว่า "ความสุข" ถือเป็นเกณฑ์การวัดความสำเร็จในชีวิตของคนคนหนึ่งได้ดีที่สุดแล้ว และหากสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย ก็นับเป็นความสำเร็จในการมีความสุขแบบคูณสอง รับรองคุณจะยิ่งแฮปปี้เลยล่ะ ... แต่ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ หากว่าคุณไม่เริ่มต้นด้วยการทำให้ตัวเองมีความสุขเสียก่อน

          แหม พอฟังแล้วชักจะคิดหนัก ไอ้ชีวิตทุกวันนี้ก็นับว่าโอเคในระดับหนึ่งล่ะนะ แต่ถ้าถามว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่า "แฮปปี้กับทุกวันของชีวิต" ไหม ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แล้วพอเป็นเสียอย่างนี้ เรื่องจะไปทำให้คนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วยนี่แทบจะลืมไปได้เลย จะทำยังไงให้เติมความสุขลงไปในชีวิตแต่ละวันได้บ้างหนอ แล้วขอแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องขวนขวายมากน่ะ จะมีหรือเปล่า เพราะขอบอกว่าไม่ว่างพอที่จะลาพักร้อนไปเที่ยวเติมความสุขใหตัวเองหรอกนะ .. ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ล่ะก็ คงต้องลองสิ่งเล็ก ๆ ทำง่าย ๆ แต่เพิ่มระดับดีกรีความสุขในแต่ละวันได้ ลองดูคำแนะนำทั้ง 9 ข้อนี้ จาก inc.com ดูสิ น่าจะช่วยคุณได้นะ

 1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยใจที่มุ่งมั่น "วันนี้ฉันต้องเจอเรื่องดี ๆ ชัวร์!"

          แทนที่จะตื่นมา แคะขี้ตา แล้วอาบน้ำแปรงฟันเหมือนวันก่อน ๆ ลองเพิ่มหนึ่งกิจกรรมง่าย ๆ เข้าไปตอนตื่นนอน ให้บอกตัวเองดัง ๆ ว่า "วันนี้ฉันต้องเจอเรื่องดี ๆ ชัวร์ป้าบ" .. อ้อ แล้วไม่ใช่แค่บอกนะ ขอให้คุณ (พยายาม) เชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นด้วย ความเชื่อแบบนี้แหละ ที่จะทำให้คุณสามารถมองเรื่องที่แสนจะธรรมดาสามัญ แบบที่เคยมองว่ามันเป็นอย่างนั้นในวันก่อน ๆ ให้กลายเป็นเรื่องพิเศษขึ้นมาได้ เป็นต้นว่า ซื้อข้าวมันไก่กินแล้ววันนี้ดันได้ไก่เพิ่มมาหนึ่งชิ้น เท่านี้ก็พิเศษแล้ว (ดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่มันทำให้คุณมีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะเออ)

2. วางแผนสิ่งที่จะทำและลำดับความสำคัญ

          ที่มาชั้นเยี่ยมของความเครียดในแต่ละวัน (ซึ่งเป็นตัวการขัดขวางความสุขของเรา) คือ การที่แต่ละวันมีงานสุมหัว มีเรื่องให้ต้องจัดการสารพัดมากมายร้อยแปด เยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี .. เอาล่ะ ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ พิจารณาความสำคัญของงานแต่ละชิ้นดูว่า อะไรควรทำก่อน-หลัง และที่สำคัญคือ สิ่งไหนจะทำให้คุณเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายหรือความฝันของตัวเองได้มากขึ้นอีก นิด สิ่งนั้นแหละที่คุณควรจะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด จัดการเสียให้เรียบร้อย พอหมดวันรับรองว่าคุณจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานของตัวเอง

ความสุข

3. มอบของขวัญแก่ผู้คนที่พบในแต่ละวัน

          เราไม่ได้พูดถึงของขวัญที่เป็นทางการแบบใส่กล่องผูกโบนะคะ แต่เป็นของขวัญที่เรียบง่ายเปี่ยมด้วยความหมายดี ๆ จากตัวคุณเองต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แชร์เรื่องขำขัน พูดให้กำลังใจ หรือแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ฯลฯ .. รับรอง สุขใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับนะจ๊ะ

4. งดคุยเรื่องการเมือง - ศาสนา

          มีบทสนทนาอยู่ 2 เรื่อง ที่ไม่ว่าจะถกเถียงอย่างไรก็ไม่เคยได้มาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องที่สุด นั่นก็คือเรื่อง "การเมือง" กับ "ศาสนา" เถียงกันมาตั้งไม่รู้กี่สิบปี (บางกรณีอาจถึงขั้นร้อย หรือนานกว่านั้นเยอะเลยล่ะ) ก็ไม่เห็นจะได้คำตอบดี ๆ ที่ทำให้คนสองฝ่ายเข้าใจตรงกันได้สักครั้ง แถมมีแนวโน้มว่ายิ่งเถียงกันนานก็ยิ่งทวีความรุนแรงด้วย หากรู้ตัวว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำตกลงไปอยู่ในวังวนของบทสนทนาแบบนี้เมื่อไหร่ ขอบอกว่ารีบถอนตัวออกมาซะยิ่งเร็วยิ่งดี เดี๋ยวจะพาลหงุดหงิด เสียสุขภาพจิตเอาได้ง่าย ๆ

5. คิดไว้ก่อนว่าใคร ๆ ก็มีเจตนาดี

          ตราบเท่าที่เราไม่สามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ ก็ไม่มีทางรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงได้หรอกว่า เหตุผลหรือเจตนาเบื้องหลังการกระทำของคนคนหนึ่งนั้นคืออะไร แล้วการไปตีความดักหน้า ว่าที่ใครคนหนึ่งทำอะไรแปลก ๆ ให้คุณรู้สึกตะหงิดใจ จะต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ ๆ  นั่นจะกลายเป็นการผลักตัวคุณเองลงไปจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ความไม่สบายใจนานาประการ พลิกความคิดนิดหน่อย เปลี่ยนเป็นบอกตัวเองว่า "เขาน่าจะมีเจตนาดีแหละนะ" จะทำให้ใจคุณเบาหวิวขึ้นเยอะ และท้ายที่สุด ต่อให้เจตนาของเขาไม่ได้ดีอย่างที่คุณคาดหวังเอาไว้ ก็ยังทำให้คุณพร้อมที่จะปล่อยผ่านไป ไม่เก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวด้วย

เค้ก

6. ละเลียดของอร่อย

          ต่อมรับรสทำงานประสานกับความรู้สึกมีความสุขโดยตรงเลยนะขอบอก เครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้ว ขนมเค้กเล็ก ๆ สักชิ้น ช็อกโกแลตคุณภาพดีสักแท่ง ก็ทำให้วันของคุณสว่างสดใสได้แล้วล่ะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมร้านเค้ก หรือว่าร้านกาแฟ จึงเปรียบเสมือนแฮปปี้ สเตชั่น ประจำวันของหลาย ๆ คน :)

7. เลิกกังวลถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

          อีกหนึ่งศัตรูตัวร้ายที่คอยขัดขวางไม่ให้คุณมีความสุข ก็คือ "ความกังวล" อันเป็นสิ่งที่เกิดจากการเอาใจไปผูกติดกับสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ล่วงผ่านไปแล้ว ไม่ว่าผลของมันจะแย่ หรือไม่น่าพอใจแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ กังวลไปก็เท่านั้น จะพาลให้วันทั้งวันของคุณไม่มีความสุขไปเปล่า ๆ ตั้งสติกลับมาใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันดีกว่านะ ทำให้ดีที่สุด ผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะได้ไม่ต้องมีอะไรให้เป็นกังวลอีก

ดูทีวี

8. เลิกเปิดทีวีไว้เป็นเพื่อน

          ดูท่านี่จะเป็นนิสัยประจำตัวของหลาย ๆ ที่เมื่อถึงบ้านปุ๊บ ก็ต้องเปิดทีวีปั๊บ แล้วตัวเองก็ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยตามปกติ แล้วการเปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อนนี่มันทำให้คุณไม่ฟีลกู้ดยังไงน่ะหรือ .. ตัวอันตรายอยู่ที่ช่วงโฆษณาทั้งหลายนั่นไงล่ะ มาอวดสรรพคุณว่าอันนั้นดี อันนี้เจ๋ง ที่นู่นกำลังลดราคาหากพลาดไม่ได้มาจะเสียใจ หรืออะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้มันเร้ากิเลสในใจให้ลุกโชน การความรู้สึกอยากมีอยากได้อยากเป็นเจ้าของ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้จิตใจสงบมีความสุขเลย

9. บันทึกสิ่งดีของวันนั้นก่อนเข้านอน

          ก่อนจะล้มตัวลงนอน คว้าไดอะรี่พร้อมปากกาขึ้นมาหนึ่งแท่ง เขียนสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีในตลอดวันนี้ลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างเจ้านายอนุมัติเลื่อนตำแหน่ง หรือเรื่องเล็กกระจิริด อย่างกดลิฟต์ให้คนที่กำลังหอบของเต็มสองมือ ไม่ว่ามันจะใหญ่หรือเล็กขนาดไหน แต่มันก็เป็นเรื่องสำคัญที่ดีที่สุดของวันนั้น อ่านแล้วก็อดยิ้มกริ่มตามไปไม่ได้ว่าวันนี้ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเราเหมือนกันนะ แล้วยิ่งได้บันทึกเอาไว้หลายวัน เมื่อมาอ่านย้อนหลังแล้วคุณจะยิ่งรู้สึกว่า ชีวิตเรานี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นทุกวันเลย ..แล้วอย่างนี้จะไม่ให้มีความสุขกับทุก ๆ วันของชีวิต ทั้งวันนี้และวันต่อ ๆ ได้อย่างไรกันล่ะนี่ ^___^

Thursday, November 15, 2012

สารพัดประโยชน์ของการจูบ ฟันดี-หน้าไม่เหี่ยว-ร่างกายแข็งแรง


สารพัดประโยชน์ของการจูบ ฟันดี-หน้าไม่เหี่ยว-ร่างกายแข็งแรง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เรื่อง "จูบ" ใครว่าเป็นเรื่องของตัณหาราคะไปเสียอย่างเดียว การจูบแสดงถึงความสนิทแนบแน่น ช่วยกระชับความสัมพันธ์ แถมสิ่งที่ได้มายังไม่ใช่แค่รักหวานชื่นอย่างเดียวเท่านั้นด้วยนะ การจูบยังพ่วงประโยชน์เรื่องสุขภาพอื่น ๆ มาอีกเพียบ ทั้งช่วยให้สุขภาพช่องปากดี กระตุ้นภูมิต้านทาน ลดความเครียด มีความสุข ช่วยร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่านั่งเฉย ๆ หน้าไม่เหี่ยว .. สารพัดเลยใช่ไหมล่ะ เอ้า เราจะมาแจกแจงให้คุณฟังกันทีละข้อเลย ใครที่ชอบจูบตั้งใจอ่านกันให้ดีนะ

1. จูบแล้วฟันไม่ผุ

          การจูบช่วยให้สุขภาพช่องปากของคุณดีขึ้นได้จริง ๆ นะจ๊ะ เพราะการจูบนั้นจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำลาย ส่งผลมาถึงช่วยลดคราบพลัคหรือแบคทีเรียที่ผิวฟัน จึงช่วยป้องกันฟันผุ และลดโอกาสเป็นโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งสามารถลุกลามเป็นปัญหาใหญ่อย่างทำให้หัวใจวายเฉียบพลันได้ด้วย

2. จูบแล้วหายเครียด

          การจูบจะช่วยยับยั้งการก่อตัวของฮอร์โมนความเครียด หรือ "คอร์ติซอล" ซึ่งหากในร่างกายมีฮอร์โมนตัวนี้มากเกินไปก็จะก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิต สูง การได้จูบกันเป็นกระจำ จึงทำให้ร่างกายของผู้จูบ (และผู้ถูกจูบ) มีระดับความดันโลหิตอยู่ในภาวะปกติ การทำงานของหลอดเลือดต่าง ๆ ก็สมดุลดี ส่วนคู่ที่จูบกันบ่อยเป็นพิเศษ ก็ลดโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด กระเพาะปัสสาวะ และกระเพาะอาหารลงไปด้วย แถมยังพบว่าบรรเทาอาการนอนไม่หลับ กับกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรงได้ด้วยนะ

3. จูบแล้วมีความสุข

          การจูบช่วยขจัดความเครียดได้เป็นอย่างดี โดยจะส่งสัญญาณไปยังสมองให้ผลิตฮอร์โมน "ออกซิโตซิน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความผูกพัน ความสัมพันธ์จึงยิ่งกระชับแน่นแฟ้น แถมในความเป็นจริง อารมณ์ของคนสองคนที่กำลังจะจูบกันก็น่าจะเป็นช่วงที่อารมณ์อยู่ในภาวะที่ กำลังแฮปปี้อยู่แล้วด้วย ยิ่งหลับตาและรีแลกซ์ไปกับมันก็จะมีความสุขมากขึ้น ส่วนบางคนที่ตื่นเต้นวูบไหวก็ทำให้ หัวใจเต้นถี่ ชีพจรเต้นรัว แรง และเร็ว ก็เป็นสัญญาณถึงการหลั่ง "อะดรีนาลีน" ออกมามากขึ้น และยิ่งการจูบดูดดื่มขึ้นมากเท่าไหร่ สาร "เอนดอร์ฟิน" ก็ยิ่งถูกผลิตออกมามาก ทำให้เรายิ่งรู้สึกแฮปปี้มากกกกกขึ้นไปอีก ลืมความเครียดไปเป็นปลิดทิ้ง

  4. ลดอาการภูมิแพ้

          การศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า การจูบอย่างดูดดื่ม 30 นาที ช่วยลดอาการจามหรือคัดจมูก อันเนื่องมาจากภูมิแพ้ได้ เพราะการจูบส่งผลถึงกลไกในร่างกายให้ชะลอการสร้างสาร "ฮิสตามีน" ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้นั่นเอง

  5. ช่วยเผาผลาญพลังงาน

          การจูบกันธรรมดา ๆ จะใช้พลังงานไปอย่างน้อยที่สุดก็ 1 แคลอรี่ และถ้ายิ่งดูดดื่มมากขึ้นก็จะยิ่งเผาผลาญพลังงานไปมากกว่านั้น ที่ 2-5 แคลอรี่ต่อนาที มากเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับอัตราพลังงานที่เราใช้ไปตอนนี่นั่งอยู่เฉย ๆ แถมยังเป็นกิจกรรมที่ทำแล้วเริงใจกว่าไปออกกำลังกายบนลู่วิ่งด้วยนา อิอิ XD

6. กระชับผิวหน้า

          รู้ไหมว่าการจูบแต่ละครั้งใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้าไปอย่างน้อย 30 มัด  ช่วยทั้งกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดบนใบหน้า รวมทั้งทำให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นกระชับไม่หย่อนยาน ทำให้ใบหน้าโดยเฉพาะช่วงกรามและแก้ม ตึงกระชับ ไม่ยับย่นเป็นริ้วรอยไปด้วยไงล่ะ .. เริ่ดจริง!

          พอ ได้รู้ว่าการจูบมีประโยชน์ต่อสุขภาพตั้งขนาดนี้ จากนี้ต่อไปก็จุ๊บกับคนรักได้บ่อย ๆ โดยไม่ต้องรอโอกาสพิเศษแล้วนะ แต่สำหรับคนที่ยังโสดโดดเดี่ยวก็.. เฮ้ออ แย่หน่อยนะ ขาดทั้งคนรู้ใจ แถมยังชวดประโยชน์ดี ๆ ที่จะได้จากการจูบไปตั้งหลายข้อแน่ะ ^^"