Thursday, August 25, 2011

ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรจึงจะปลอดภัย


คอมพิวเตอร์


ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรจึงจะปลอดภัย (สภากาชาดไทย)

          ผู้มีอาชีพที่จะต้องนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มักจะเกิดปัญหากับสุขภาพหลายอย่าง ทั้งสายตา ปวดคอ ปวดหลัง

          ปัญหาทางสายตาเป็นเรื่องใหญ่  ใครที่นั่งจ้องจอคอมฯ นานกว่า 3 ช.ม. ติดต่อกัน จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า สายตาจะพร่า อาจปวดกระบอกตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล 

วิธีแก้ปัญหา

          1. ควรตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างอย่างน้อย 2 ฟุต ในระดับสายตาตรงหน้าพอดี 

          2. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำ รู้ได้โดยเวลาดับเครื่องไฟฟ้าสถิตจะมีน้อย ถ้ามีมากเอามือไปอังใกล้ ๆ หน้าจอ ขนจะลุก

          3. ปรับแสงให้พอรู้สึกสบายตา อาจใช้แผ่นกรองแสงสวมหน้าจอจะช่วยได้ ไฟแสงสว่างด้านหลังอาจทำให้เกิดภาพสะท้อนที่จอทำให้สายตาเสียได้ 

          4. ทำความสะอาดจอภาพของคอมพิวเตอร์เสมอ

          5. ควรพักสายตาบ้าง ไม่ควรทำคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน 1-2 ช.ม. ควรพักสายตาสัก 15 นาที หรืออาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหมาด ๆ ปิดตาไว้ 2-3 นาที จะช่วยได้มาก

          6. พวกใช้คอนแทคเลนส์ ควรหยอดน้ำตาเทียมบ่อย ๆ


ปวดคอ


ปัญหาปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ แก้ไขโดย

          1. ตั้งจอตรงหน้าพอดีไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่เอียงซ้าย หรือขวา

          2. คีย์บอร์ดและเม้าส์ควรอยู่ระดับเอวหรือระดับหน้าตักพอดี เพราะถ้าอยู่สูงกว่านี้เวลาใช้คีย์บอร์ดและเม้าส์นาน ๆ ไหล่จะค่อย ๆ ยกสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อให้แขนและมือจะได้ทำงานถนัด แต่การยกไหล่ขึ้นนาน ๆ กล้ามเนื้อที่ยกไหล่จะล้า ปวดเมื่อยได้ ปวดตั้งแต่ไหล่ บ่า ถึงคอ

          3. ต้องพักการทำคอมพิวเตอร์ ทุก 1-2 ช.ม.


ปวดหลัง

ปัญหาปวดหลัง แก้ไขโดย

          1. ขณะนั่งทำคอมพิวเตอร์ควรนั่งเก้าอี้ที่สูงพอดี เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า ถ้าสูงเกินไปจนเท้าลอย หรือถ้าต่ำเกินไป ก้นจะจ่อมอยู่บนที่นั่ง ทำให้เมื่อยบริเวณก้นได้ 

          2. เวลานั่งต้องเลื่อนตัวให้นั่งชิดพนักพิง ไม่ใช่นั่งอยู่แค่ครึ่งที่นั่งของเก้าอี้ 

          3. หลังจะต้องพิงพนักเก้าอี้อยู่ตลอดเวลา โดยพนักพิงทำมุมกับที่นั่ง ไม่เกิน 100 องศา

          4. ต้องพักการทำคอมพิวเตอร์ ทุก 1-2 ช.ม.
 ที่มา http://health.kapook.com/view30686.html

Tuesday, August 16, 2011

จริงๆ

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้า "รักกันจริง" ต่อให้ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า "รัก" แต่ถ้าคนที่ไม่ได้รักกันแล้ว ต่อให้พูดย้ำเป็นล้านครั้งว่า "รัก" มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าประโยคนั้น มันไม่ได้มีอยู่จริงในหัวใจของเราเลย

7 สิ่งที่ควรทำ เมื่อรู้สึกชีวิตเริ่มเยอะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
          คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน หรือในการทำงาน รวมถึงเรื่องทั่วอื่น ๆ ทั่วไป มักจะสร้างความกระวนกระวายใจ และกดดันให้ชีวิตเริ่มรู้สึกเยอะและหนักอึ้งเกินผิดปกติ ถ้าใช่ ลองมาอ่านบทความนี้ดูสักหน่อย เพราะทางเว็บไซต์ Balanceinme.com ได้ทำการรวบรวมเอา 7 สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้สึกชีวิตเริ่ม "เยอะ" เอาไว้ให้ได้รับมือกันแล้ว ชักสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ งั้นมาดูกันว่าทั้ง 7 สิ่งที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง ตามนี้เลย...

           1. ลำดับความสำคัญให้เป็น
          นู่นก็ต้องทำ นี่ก็ต้องเอา นั่นก็ต้องเร็ว ฯลฯ มีสารพันปัญหาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด บางทีก็ทำให้เหนื่อยล้า และท้อจิตท้อใจเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ฉะนั้นแล้ว ลำดับความสำคัญให้เป็น เรื่องในควรทำก่อนหลังจำเป็นต้องรู้ เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาหรืองานนั้น ๆ ได้สำเร็จลุล่วง ที่สำคัญคุณยังต้องรู้จักวางแผนในการทำสิ่งนั้น ๆ ควบคู่ไปด้วย โดยมีการวางแผนว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ต้องทำมากน้อยขนาดไหน และควรจะสิ้นสุดเมื่อไหร่หรือหาทางแก้ไขอย่างไร เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็วและมีระบบมากยิ่งขึ้น

           2. อย่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
          ชีวิตคนเราจะว่าไปก็เยอะอยู่แล้ว เรื่องนั้นเรื่องนี้มีเข้ามามากมายเต็มไปหมด ฉะนั้นแล้ว ใจเย็น ๆ สูดหายใจลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ทยอยทำไปทีละอย่าง อย่าได้ทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นจากที่เยอะอยู่แล้ว จะกลายเป็นเยอะหนักกว่าเก่าอย่างแน่นอน (คิดแล้วก็เหนื่อยแทน.. เฮ้ออ !!)

           3. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
          ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ครับ เพราะการมีเป้าหมายที่แน่วแน่ ก็จะเป็นเหมือนเข็มทิศนำทางให้คุณได้ก้าวเดินไปอย่างถูกต้องตามลู่ทางที่ได้ กำหนด ซึ่งจะเป็นผลดี ทำให้คุณไม่วอกแวกกับสิ่งอื่นใด เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ได้ผลแบบสุด ๆ เลยทีเดียว พูดง่าย ๆ คืออยู่ที่ใจคุณนั่นแหละ ว่าจะสู้ได้มากน้อยขนาดไหน

           4. พักซะบ้าง
          อะไรที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็ไม่ต้องทำก็ได้ หยุดพักให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนซะบ้าง เพราะการผักผ่อนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อร่างกาย ถ้าร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ อะไรที่หนักหนาสากันจะถาโถมเข้ามายังไง ก็สู้ได้ไม่หวั่นอยู่แล้ว หรืออีกทางหนึ่งคือการออกไปเปิดหูเปิดตาก็ดีนะ ละทิ้งทุกสิ่งอย่างที่ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า หาเวลาว่างแล้วออกไปเปิดหูเปิดตาซะบ้าง ลองไปเที่ยว ไปหาความสุขใส่ตัวให้เต็มที่ เอาให้สมกับที่ต้องทนการเรื่องหนัก ๆ มานาน รับรองว่า กลับมาทำงานเมื่อไหร่ ได้มีไฟที่พร้อมสู้งานมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

           5. มองหาตัวช่วย
          อีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยได้อย่างแน่นอน ก็คือมองหาใครสักคนให้มาช่วยงานที่เยอะแยะวุ่นวายของคุณ เหมือนอย่างสำนวนไทยที่กล่าวไว้ว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" ไงครับ ร่วมด้วยช่วยทำกันไป งานก็เสร็จเร็วขึ้น แถมยังได้มีเวลาพักมากขึ้นอีกด้วยเช่นกัน

           6. เลิกผัดวันประกันพรุ่งซะ
          "เอาไว้ก่อนน่า" "อีกเดี๋ยวค่อยทำ ไม่เป็นอะไรหรอก" ฯลฯ ร้อยแปดพันเก้าข้ออ้างขนาดนี้ ขอให้เลิกซะจะดีกว่า เพราะเป็นคำพูดที่ไม่ได้สร้างประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ขอให้ลองเปลี่ยนใหม่เป็นประมาณว่า "ได้ เดี๋ยวจะรีบทำเลย จะได้เสร็จ ๆ ไป" หรือ "สงสัยถ้าไม่รีบทำตอนนี้ มีหวังได้เหนื่อยยาวแน่ ๆ ต้องทำโดยไวแล้ว" แบบนี้จะเข้าท่ากว่าเยอะเลย ลองดูนะ :)
           7. ทำจิตใจให้เบิกบาน
          ลองคิดตามง่าย ๆ นะครับ ในเวลาที่เรามีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นใจให้แก่คุณขนาดไหน การมีความสุขถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ดังนั้นแล้วถ้าอยากมีช่วงเวลาดี ๆ เหล่านั้นอยู่เสมอแล้วล่ะก็ ขอให้ยิ้มเข้าไว้ ทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ รวมทั้งมองโลกในแง่ด้วย จะเป็นอะไรที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเป็นที่สุด

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก toxel.com

          วิทยา ยุทธของพี่จีนเขานี่ไม่เคยเป็นเรื่องที่ธรรมดา ๆ เลยจริง ๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องยิ่งใหญ่อลังการอยู่เสมอ เช่นเดียวกับสิ่งที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ ที่ต้องใช้ความ ชำนาญพิเศษส่วนบุคคลล้วน ๆ เพราะที่ประเทศจีน มีการบรรทุกของใส่รถจักรยานแบบเกินโควต้าชนิดที่ว่าใครเห็นก็ต้องอึ้งและ เหลียวมองถึงความสามารถในการบรรทุกของอย่างแน่นอน

       ภาพต่าง ๆ ที่เรานำมาเสนอนี้ เป็นผลงานการถ่ายภาพของนายอัลแลง เดอโลร์ม ช่างภาพชาวฝรั่งเศส ที่มีโอกาสได้เดินทางไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ แล้วเก็บภาพชวนอึ้งเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งเราขอยืนยันเลยว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงในประเทศจีน และจากภาพที่เห็นว่าดูเว่อร์ ๆ ไปบ้างนั้น ก็เพื่อเพิ่มสีสันให้ดูสดขึ้นเท่านั้น ส่วนเรื่องการบรรทุกของต่าง ๆ นั้นเขาทำกันอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ได้โม้ !!

          จากภาพต่าง ๆ ที่นายเดอโลร์มได้ถ่ายเก็บมานั้น แสดงให้เห็นถึงการบรรทุกของเพื่อการขนส่งจำนวนมาก โดยใช้เพียงแค่จักรยานธรรมดา ๆ เชือก และความชำนาญเป็นตัวช่วยสำคัญเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขนยางรถยนต์ ลังขวดน้ำ ดอกไม้ ลังผลไม้ เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เก้าอี้สำนักงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย

          เห็นแบบนี้แล้วก็บอกได้คำเดียวเลยว่า เรื่องความสามารถเฉพาะตัวของพี่จีนนี่ไม่แพ้ชาติใดในโลกนี้จริง ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูภาพที่เรานำมาเสนอนี้ดูได้ งานนี้ถ้าดูแล้วไม่อึ้งก็ให้รู้กันไป !!

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

น้อย ๆ ไม่... เยอะ ๆ ชอบ จีนโชว์เหนือบรรทุกของขั้นเทพ

สุดยอดเทคโนโลยีในปี 2010

2010 ปีแห่งเทคโนโลยี

Technology 2010ปี 2010 ถือได้ว่า เป็นอีกปีหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางด้านโทรศัพท์มือถือ เทคโนโลยีเกี่ยวกับโน๊ตบุ๊ค เทคโนโลยีทางด้านซีพียู วันนี้ทางไอที-ไกด์ ดอทคอมจึงได้รวบรวมเทคโนโลยีในปี 2010 มาให้เพือนๆ เห็นกัน

10 สุดยอดเทคโนโลยีในปี 2010 

  1. iPhone 4 สุดยอดเทคโนโลยีด้านโทรศัพท์มือถือที่มีผู้กล่าวถึงกันมากที่สุด และมีผู้ที่ต้องการเป้นเจ้าของมากที่สุดทั่วโลก ผลิตจากบริษัท Apple ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Mac ที่มีผู้ที่ยมใช้งานกันมากที่สุดเหมือนกัน
  2. iPad สุดยอดคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ประเภทเดียวกับ Netbook ที่โดดเด่นระบบมัลติทัช (ระบบสัมผัส) และมีผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว
  3. Android ระบบปฏิบัติบนโทรศัพท์มือถือ จากค่าย Google ผู้นำด้าน Search Engine ของโลก เรียกว่าทำให้ระบบ Windows Phone หรือ Sybian สะเทือนกันเลยทีเดียว
  4. Samsung Galaxy คือหนึ่งคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มาแรง แซงทางโค้งอุปกรณ์เคลื่อนที่ระบบสัมผัส
  5. เทคโนโลยี 3G เทคโนโลยีที่พูดกันมากที่สุดในปลายปี 2010 ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่มีระบบ 3G อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีค่ายโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยหลายๆ เริ่มทำการตลาดกันอย่างมากมายแล้ว
  6. อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 6 MB  ความเร็วเพิ่มขึ้นและราคาคงเดิม ถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ประเทศไทยคนไทย (ตามบ้าน) จะสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และถึงแม้ว่าจะได้ความเร็วเต็มบ้าง ไม่เต็มบ้างก็ตามที
  7. Net SIM + Air Card อีกเทคโนโลยีที่มีการใช้งานอย่างแพร่มากมากในประเทศไทย ทำให้เราสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ต ได้ทุกที่ ทุกเวลา เป็นจริงเสียที
  8. CPU ตระกูล i  ถือได้ว่าเป็นหนึ่งซีพียูจากค่ายอินเทล ที่ได้รับความนิยมมากในปี 2010
  9. Windows 7 หลังจากไม่ประสบความสำเร็จกับ Windows Vista แต่อย่างน้อย Windows 7 ก็เป็นอีกหนึ่งระบบปฏิบัติการที่กู้หน้าให้ Microsoft ได้มากเลยทีเดียว
  10. QR Code หรือ Quick Response Code รหัสบาร์โค๊ตจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย เช่นกัน
    http://www.it-guides.com/index.php/technology-updated/1566-top-techchnology-2010

พอร์ต USB 3.0 มาแล้วครับ

ใครยังไม่รู้จัก USB บ้าง


USB SuperSpeed 3.0USB ย่อมาจาก Universal Serial Bus เป็นพอร์ตที่ใช้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าด้วยกัน เช่น เชื่อมต่อ Flash Drive กับเข้าคอมพิวเตอร์, เชื่อมต่อ กล้องวีดีโอ เข้ากับคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่ง เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเข้ากับคอมพิวเตอร์เป็นต้น ปัจจุบันอุปกรณ์ประเภทไฮเทคต่างๆ มักอาศัยการเชื่อมต่อด้วยพอร์ต USB เป็นหลัก

USB เวอร์ชั่น 3.0


เวอร์ชั่นล่าสุดของ USB ที่มีการปรับปรุงความสามารถในโอนถ่ายข้อมูลได้มากกว่าเดิมมาก ซึ่งปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ยังคงใช้ USB เวอร์ชั่น 2.0 และที่แย่กว่านั้น คือ เวอร์ชั่น 1.1 ซึ่งให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลต่ำสุด (ระวัง อย่าซื้ออุปกรณ์ที่ใช้การเชื่อมต่อ USB 1.1 น่ะครับ เพราะตกรุ่นไปแล้ว)?


ความแตกต่างระหว่าง USB 2.0 กับ USB 3.0

  • ความเร็ว หรือ Speed
    ความแตกต่างที่ใช้สำหรับการ วัดประสิทธิภาพของพอร์ต USB แต่ละรุ่นคือ?ความเร็ว? โดยความเร็วของพอร์ต USB 2.0 อยู่ที่ 480 Mbps สำหรับเวอร์ชั่น 3.0 ความเร็วอยู่ที่ 4.7 Gbps?ซึ่งเปรียบเทียบแล้ว USB 3.0 จะมีความเร็วกว่า USB 2.0 เกือบสิบเท่าตัว ดังนั้น เวลาเราต้องการโอนถ่ายไฟล์ใหญ่ โดยเฉพาะกับไฟล์วีดีโอ จะทำให้สามารถโอนได้เร็วในพริบตาเลยทีเดียว
  • ประหยัดไฟ
    ด้วยการออกแบบใหม่ของ USB 3.0 ทำให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟฟ้าได้ด้วย
  • จ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า
    USB 3.0 สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อผ่าน HUB และรองรับการจ่ายไฟได้มากขึ้น
ก่อนการซื้ออุปกรณ์ที่มีพอร์ต USB 3.0 คงต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่า Windows ที่เราใช้งานรองรับการใช้งาน USB 3.0 หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม พอร์ต USB 3.0 ก็สามารถใช้งานร่วมกับ USB 2.0 และ USB 1.1 ได้อย่างไม่มีปัญหา
http://www.it-guides.com/index.php/technology-updated/1348-usb-version-3

Bluetooth 3.0 มาตราฐานใหม่

ทำความรู้จัก Bluetooth 3.0

BlueTooth 3.0 ใหม่Technology Bluetooth บางคนก็เรียก ฟันสีฟ้า (แปลกันตรงๆ ไปเลย) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อคล้ายๆ กับการใช้งาน Wifi เราคงคุ้นเคยกับพอสมควรแล้วกับ Bluetooth บนโทรศัพท์มือถือ ที่เรามักใช้เชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์ด้วยกัน หรือ ใช้สำหรับการเชื่อมต่อกับหูฟังของโทรศัพท์  ตัว Buletooth เองก็มีการพัฒนามาหลายรุ่น แต่วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับเวอร์ชั่นใหม่ 3.0

ปัจจุบันเรามี USB 3.0 แล้ว Bluetooth 3.0 ก็มีเช่นเดียวกัน

Bluetooth 3.0 ดีอย่างไร

ความน่าสนในของ Bluetooth 3.0 ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความเร็ว ซึ่งเหมือนๆ กับ USB 3.0 แต่ Bluetooth มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือเรื่องของการประหยัดพลังงาน นั่นหมายความว่า เราสามารถพูดคุยโทรศัพท์ด้วยหูฟังที่ผ่าน Bluetooth 3.0 ได้นานขึ้น เหมาะสำหรับคนชอบเม้าส์โดยเฉพาะ  สำหรับมาตราฐานของ Bluetooth 3.0 นี้ใช้มาตราฐานเดียวกับ Wifi คือ IEEE 802.11 (แต่ไม่ใช่ Wifi น่ะครับ)

เปรียบเทียบความเร็ว Bluetooth รุ่นต่างๆ

  • Bluetooth รุ่น 1.2 มีความเร็ว 721 Kbps
  • Bluetooth รุ่น 2.0 มีความเร็ว 2.1 Mbps
  • Bluetooth รุ่น 2.1 มีความเร็ว  3 Mbps
  • Bluetooth รุ่น 3.0 มีความเร็ว 24 Mbps (รุ่นล่าสุด)
เวลาเลือกซื้ออุปกรณ์ใดๆ ที่มีคำว่า Bluetooth อยู่ ก็อย่าลืมตรวจสอบเรื่องรุ่นด้วยน่ะครับ จะได้ไม่ซื้อของตกรุ่น

วีดีโอทดสอบความเร็ว Bluetooth 3.0
http://www.it-guides.com/index.php/technology-updated/1767-bluetooth3

ทำความรู้จักมาตราฐานการเชื่อมต่อแบบ HDMI

หลายๆ อุปกรณ์ทางด้านเครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ดิจิตอลในปัจจุบัน มักจะมีคำว่า HDMI เข้ามาเกี่ยวข้องกันมากขึ้น และดูว่าน่าจะเป็นมาตราฐานใหม่สำหรับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น เราน่าจะมาศึกษาและทำความรู้จักเจ้า HDMI กันสักนิด ว่ามันคือะไรและดีอย่างไร

HDMI ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface

HDMI Ports
หมาย ถึงการเชื่อมต่อโดยส่งข้อมูลแบบ Multimedia?เช่น ข้อมูลภาพและเสียง เป็นต้น ในรูปแบบที่มีความละเอียดสูง และไม่มีการบับอัดข้อมูล ทำให้ผลรับที่ได้มีคุณภาพที่สูงขึ้นอย่างมาก

ข้อมูลเสียง HDMI

HDMI จะมีการส่งข้อมูลเสียงในระดับถึง 192 กิโลเฮิรตซ์ และมีการ Sample แบบ 24 บิต ซึ่งเป็นระดับเสียงเดียวกับที่ใช้ในระบบเดียว Dolby Digital ที่เรามักเห็นในโรงภาพยนตร์เลยทีเดียว สุดยอดไหมครับ

ข้อมูลภาพ HDMI

HDMI เวอร์ชัน 1.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรก จะมีความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลภาพอยู่ที่ 165 เมกะเฮิรตซ์ โดยสามารถรองรับสัญญาณภาพแบบ High-Definition ที่ความละเอียดสูงถึง 1080p ที่ 60 เฮิรตซ์ ได้ (WUXGA) แต่ถ้าต้องการความละเอียดที่สูงมากกว่านี้ก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับ มาตรฐาน HDMI ที่มีเวอร์ชันใหม่มากขึ้น? โดยบางรุ่นสามารถรอบรับ ได้ถึง 340 เมกะเฮิรตซ์ และมีสามารถส่งสัญญาณภาพที่ความละเอียดระดับ (WQXGA)\

อุปกรณ์ในปัจจุบันที่รองรับมาตราฐาน HDMI

  • HDTVs
  • Blu-ray Disc players
  • Multimedia PCs
  • Gaming systems
  • Digital camcorders, and more.
ดังนั้น เวลาจะเลือกซื้ออุปกรณ์ใดๆ ก็ควรสังเกตว่ารองรับการทำงานของ HDMI ด้วยน่ะครับ จะได้ไม่ตกเทรนด์
http://www.it-guides.com/index.php/technology-updated/473-hdmi-ports

HDTV คืออะไร

ทำความรู้จักเทคโนโลยี HD

HD ย่อมาจากคำว่า High-Definition มีความหมายถึงความละเอียดสูง เช่น HDTV หมายถึง TV ที่มีความละเอียดสูง ให้ภาพคมชัดมากมากกว่าปกติเป็นต้น และถ้าพูดถึง TV ก็ต้องพูดถึงระบบการถ่ายทอดสัญญาณทีวีในบ้านเรา ซึ่งยังคงใช้ระบบ PAL และให้ความละเอียดต่ำอยู่ ดังนั้น การเลือกซื้อ TV ที่เป็นแบบ HDTV จะเหมาะสำหรับการเลือกดูหนังที่เป็นประเภท Blu-ray ซึ่งมีความละเอียดสูง หรือการดูหนังที่ถ่ายถอดในระบบ HD เท่านั้น (ตัวอย่างเช่น Cable TV เป็นต้น)

ทำความรู้จัก Interlaced และ Progressives Scan

ถ้าคุณเคยเลือกซื้อ TV หรือ เครื่องเล่น DVD คงเคยเห็นคนขายแนะนำเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการสแกนภาพ หรือการยิงลำแสงมาบ้างแล้ว ซึ่งเจ้า 2 ตัวนี้ จะมีความสามารถในการแสดงภาพที่แตกต่างกันออกไป
  • Interlaced - ใช้เทคนิคในการแสดงภาพสลับไปมาระหว่างเลขคู่และเลขคี่ จนถึงจำนวน 1080 เส้น
  • Progressives Scan - ใช้เทคนิคในการแสดงภาพทีละเส้น จนครบ 1080 เส้น จะได้ภาพที่มีความนิ่ง และไม่ค่อยกระพริบ เรียกว่าให้ผลลัพธ์ในการแสดงภาพได้ดีกว่า

ความละเอียดของภาพ

  • 480p = 338,000 pixels / frame (704 x 480)
  • 720p = 922,000 pixels / frame (1280 x 720)
  • 1080i = 1,037,000 pixels / frame (1920 x 1080)
  • 1080p = 2,074,000 pixels / frame (1920 x 1080)
ปกติสำหรับการเลือก HDTV จะต้องเป็นคุณภาพระดับจำนวนเส้น 1080 เส้น จะเห็นได้ว่า ความละเอียดของภาพที่ 1080p (Progressive Scan) จะไห้ความละเอียดสูงถึง 2,074,000 pixels ซึ่งดีที่สุด ดังนั้น ถ้าต้องการ HDTV คุณภาพสูงต้องเลือก HDTV ที่เป็นรุ่นนี้เท่านั้น (แต่สำหรับราคา ก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน)? ระวังโฆษณาที่มักบอกว่าเป็น HD Ready, HP Compatible นะครับ :)
http://www.it-guides.com/index.php/technology-updated/651-high-definition-tv

Blu-ray คืออะไร

Blu-ray (BD) เป็นมาตราฐานใหม่ของแผ่นหนัง โดยแกนหลักคือค่าย Sony โดย Blu-ray ชั้นเดียว จะมีความจุ 25 GB
ซึ่งทำให้สามารถบรรจุไฟล์หนังที่มีความละเอียดสูงได้ (Hi-Definition)
ปัจจุบัน มี BD25 (Single Layer) กับ BD50 (Double/Dual Layer) แต่โดยเทคโนโลยี่แล้ว เคยพบข่าวว่าสามารถทำได้ 8 layer (หรือ 200 GB ต่อแผ่น)

BD-R เป็นแผ่นบลูเรย์ ชนิดเขียนได้ ราคาณ.ตอนที่เขียนบทความนี้ ประมาณ 4-500 ต่อแผ่นครับ

HD DVD เป็นมาตราฐานแผ่นหนัง โดยค่าย Toshiba ซึ่งปัจจุบัน ยกธงขาว จึงถือว่าตายไปแล้ว
HD DVD ชั้นเดียวความจุ 15 GB ส่วนสองชั้น 30 GB

B2D (Blu-ray to DVD) เป็นศัพท์ใหม่ แต่ก่อนที่จะอธิบาย กรุณาอ่านข้อมูลคร่าวๆ
=> ปัจจุบันแผ่นผี ที่เป็นแผ่นปั๊ม BD ยังไม่มี
=> แผ่น BD-R เปล่าๆ ราคายังคงแพงมากๆ
=> รูปแบบไฟล์วิดีโอ Codecsที่บรรจุอยู่ในแผ่น BD มีอยู่ 3 แบบ คือ MPEG2, AVC/H264 และ VC-1

B2D 4D (Blu-ray to DVD for DVD Player)
ที่ด้วยความนิยม BD มีมากขึ้น ทำให้มีพ่อค้าหัวใสบางคน ซึ่งสามารถดึงไฟล์จากแผ่น BD แท้เช่นที่เป็น MPEG2
ออกมาบีบอัด แล้วบันทึกใส่แผ่น DVD9 ซึ่งบางครั้งก็ชัดกว่าหนังเรื่องนั้นในรูปแบบ DVD9 เล็กน้อย
หรือไม่ก็ชัดน้อยกว่าด้วยซ้ำ อันเนื่องมาจากการแปลงไฟล์ แผ่นรูปแบบนี้ สามารถเล่นได้ในเครื่องเล่น DVD ทั่วๆไป

B2D 4C (Blu-ray to DVD for Hi-Def PC)
เนื่องด้วย ไฟล์ไฮเดฟ สามารถแปลงและย่อขนาด เพื่อนำมาเล่นใน PC ได้
ทำให้มีพ่อค้าบางกลุ่ม ดึงไฟล์จากแผ่น BD แล้วแปลงเป็นไฟล์บางอย่าง (ผมไม่สันทัด) ซึ่งมีขนาดเล็กลง
แล้วนำมาเขียนลงแผ่น DVD ซึ่งแผ่นชนิดนี้ ไม่สามารถเล่นบนเครื่อง DVD ทั่วไปได้
ต้องเล่นบน Hi-Def PC หรือไม่ก็ BD Player ที่ Support ไฟล์ชนิดนั้นๆ

BDF (BD Fake) หรือ B2DF (B2D Fake)
เนื่องจากความนิยมอยากรู้อยากเห็น ฟอร์แมตใหม่ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
พ่อค้าไม่ซื่อบางคน ได้นำหน้าปกของกล่อง BD มาใช้ ทั้งๆที่ข้างในนั้น คือ DVD9
โดยดูจากหนังเรื่องนั้นๆ ยังไม่เคยมีการออกเป็น BD เลย
รูปแบบนี้ กำลังพบเห็นมากๆที่ ไอทีมอลล์ ฟอร์จูน

Blu-ray คืออะไร
Blu-ray ...หรือรู้จักกันในนาม Blu-ray Disc(BD) คือชื่อเรียกของรูปแบบ ออฟติคอลดิสค์ ในรุ่นถัดไป
รูปแบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการบันทึก, เขียนซ้ำ และเล่นวิดีโอ high-definition (HD) รวมทั้งใช้เก็บข้อมูลปริมาณมหาศาล
รูป แบบนี้ เสนอความจุในการเก็บ กว่า 5 เท่าของ DVD ทั่วไป และสามารถเก็บข้อมูลได้สูงถึง 25 GB บนแผ่นดิสค์ชั้นเดียว และ 50 GB บนแผ่นดิสค์ 2 ชั้น

ทำไมถึงชื่อ Blu-ray ?

ชื่อของ "บลูเรย์" ได้มาจากเทคโนลโลยี่ ที่รองรับมันอยู่ ซึ่งใช้เลเซอร์สี "ฟ้า-ม่วง" เพื่ออ่าน และเขียนข้อมูล
ชื่อเป็นคำผสมของ "Blue" (เลเซอร์สี ฟ้า-ม่วง) และ "Ray" (ลำแสง)
ยึดตาม "Blu-ray Disc Association" การสะกดคำว่า "Blu-ray" ไม่ใช่คำผิดพลาด
เพราะตัวอักษร "e" ถูกตั้งใจตัดทิ้งไป เพื่อที่ถ้อยคำดังกล่าว จะสามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้

ชื่อเต็มที่ถูกต้องคือ "Blu-ray Disc" ไม่ใช่ Blu-ray Disk (เป็นการสะกดผิด)
ชื่อสั้นๆที่ถูกต้องคือ "Blu-ray" ไม่ใช่ "Blu-Ray" (ใช้ตัวอักษรใหญ่ผิด) ไม่ใช่ "Blue-ray" (สะกดผิด)
คำย่อที่ถูกต้อง คือ "BD" ไม่ใช่ "BR" หรือ "BRD" ซึ่งเป็นคำย่อที่ผิด

ใครพัฒนา "Blu-ray" ขึ้นมา ?

รูปแบบ บลูเรย์ ดิสค์ ได้ถูกพัฒนาขึ้น โดย Blu-ray Disc Association (BDA)
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำเครื่องใช้ไฟฟ้าบริโภค คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และผู้ผลิตสื่อ อันมีสมาชิกมากกว่า 170 บริษัทจากทั่วโลก
คณะกรรมการปัจจุบัน ประกอบไปด้วย ตัวแทนจากบริษัทเหล่านี้

Apple Computer, Inc.
Dell Inc.
Hewlett Packard Company
Hitachi, Ltd.
LG Electronics Inc.
Matsushita Electric Industrial Co., Ltd.
Mitsubishi Electric Corporation
Pioneer Corporation
Royal Philips Electronics
Samsung Electronics Co., Ltd.
Sharp Corporation
Sony Corporation
TDK Corporation
Thomson Multimedia
Twentieth Century Fox
Walt Disney Pictures
Warner Bros. Entertainment

มีการวางแผนรูปแบบ Blu-ray ไว้ยังไง ?

ก็เหมือน CD และ DVD ทั่วๆไป ที่ Blu-ray ได้ถูกวางแผนรูปแบบไว้อย่างกว้าง ซึ่งรวมไปถึง ROM/R/RW
รูปแบบต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนด Blu-ray Disc

BD-ROM เป็นรูปแบบการอ่านอย่างเดียว สำหรับเพื่อจำหน่าย ภาพยนตร์ HD, เกมส์, ซอฟแวร์ และอื่นๆ
BD-R เป็นรูปแบบบันทึกได้ สำหรับบันทึกภาพวิดีโอ HD และเก็บข้อมูล PC
BD-RE เป็นรูปแบบบันทึกซ้ำได้ สำหรับบันทึกภาพวิดีโอ HD และเก็บข้อมูล PC

ยังมีการวางแผนให้มีรูปแบบลูกผสม BD/DVD ซึ่งเป็นการรวมเอา Blu-ray และ DVD อยู่บนแผ่นดิสค์เดียวกัน
ซึ่งมันสามารถเล่นได้ทั้งบนเครื่องเล่น Blu-ray และเครื่องเล่น DVD

คุณสามารถใส่ข้อมูลได้มากเท่าไหร่ บนแผ่น Blu-ray Disc ?

แผ่นชั้นเดียว สามารถรับได้ 25 GB
แผ่นสองชั้น สามารถรับได้ 50 GB

เพื่อความแน่ใจว่ารูปแบบ Blu-ray Disc ง่ายต่อการขยายการใช้งานในอนาคต
มันยังรวมไปถึงการสนับสนุนเป็น แผ่นดิสค์หลายชั้น (Multi-layer discs)
ซึ่งน่าจะยอมให้ปริมาณการเก็บเพิ่มขึ้นถึง 100-200 GB (25 GB ต่อชั้น)
โดยการเพิ่มจำนวนชั้นของแผ่นดิสค์ให้มากขึ้น

คุณบรรจุภาพวิดีโอ บนแผ่น Blu-ray ได้มากเท่าไหร่ ?

ได้กว่า 9 ชั่วโมงของภาพวิดีโอระดับ High-definition(HD) บนแผ่นขนาด 50GB
ราวๆ 23 ชั่วโมงของภาพวิดีโอ Standard-definition(SD) (คือวิดีโอทั่วๆไปบน DVD ตอนนี้) บนแผ่นขนาด 50 GB

ความเห็นส่วนตัว ........ ความจุขนาดนี้ เก็บ Series ได้ season นึงเลยล่ะ

คุณสามารถ อ่าน/เขียนข้อมูลบนแผ่น Blu-ray ได้เร็วแค่ไหน ?

ตามข้อกำหนดของแผ่น Blu-ray, ความเร็ว 1x ถูกกำหนดไว้ที่ 36 Mbps
อย่างไรก็ตามที่ ภาพยนต์ Blu-ray จำต้องใช้อัตราส่งผ่านข้อมูลที่ 54 Mbps ความเร็วต่ำสุดที่เราคาดว่าจะเห็นก็คือ 2x(72Mbps)
Blu-ray ยังมีศักยภาพสำหรับความเร็วที่สูงขึ้น อันเป็นผลจาก "ขนาดช่องรับแสง"(numerical aperture :NA) ที่ใหญ่กว่าที่แผ่น Blu-ray นำมาใช้
ค่า NA ที่ใหญ่ ส่งผลให้ Blu-ray ต้องการอำนาจการบันทึกที่น้อย และการหมุนของแผ่นที่น้อยกว่า DVD และ HD-DVD เพื่อบรรลุถึงอัตราส่งผ่านข้อมูลระดับเดียวกัน
ในขณะที่อดีต ตัวมีเดียเองจำกัดอยู่ที่อัตราการบันทึก แต่ปัจจัยจำกัดเดียวของ Blu-ray คือขนาดของฮาร์ดแวร์
ถ้าเราสมมุติความเร็วการหมุนของแผ่นสูงสุดที่ 10,000 RPM งั้น 12x ที่รัศมีนอกสุด ควรมีความเป็นไปได้ (ราวๆ 400 Mbps)
นี่คือเหตุผลที่ BDA ได้วางแผนเพิ่มความเร็วไปที่ 8x (288 Mbps) หรือมากกว่าในอนาคต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Blu-ray จะสนับสนุน video codecs แบบไหน ?

MPEG-2 -enhanced สำหรับ HD ....ยังใช้ในการเล่นภาพบันทึก DVD และ HDTV ได้
MPEG-4-AVC .......ส่วนนึงของ มาตราฐาน MPEG-4 ซึ่งรู้จักกันในนาม H.264 (High Profile and Main Profile)
SMPTE VC-1 .......มาตราฐานตามเทคโนโลยี่ Microsoft's Windows Media Video(WMV)

โปรดสังเกตว่า นี่เป้นความตั้งใจที่ เครื่องเล่น และเครื่องบันทึก Blu-ray จำต้องสนับสนุนการเล่น video codec เหล่านี้
มันยังขึ้นอยู่กับ ค่ายสตูดิโอภาพยนตร์ ว่าจะตัดสินใจใช้ video codec ไหน กับผลงานที่จะปล่อยออกมา

http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=72856
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C

ประวัติคอมพิวเตอร์ และวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ « @FordAntiTrust 's Blog

ประวัติคอมพิวเตอร์ และวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ « @FordAntiTrust 's Blog

Monday, August 15, 2011

ของขวัญ - Musketeer (Piano Ver.)

6 วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี

อาหาร
แม้ส่วนใหญ่คนที่มีน้ำหนัก เกินมักคิดว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพมากกว่าคนรูปร่างผอม บ้างก็แอบอิจฉาคนผอมที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนเลยสักที แต่แท้จริงแล้วการมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน บางครั้งก็แสดงถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การทำงานของฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งควรตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง
แต่สำหรับคนที่น้ำหนักน้อยตามธรรมชาติของร่างกาย และอยากมีน้ำมีนวลมากขึ้นกว่าเดิม เรามีวิธีเพิ่มน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีมาฝากค่ะ
 แบ่งมื้ออาหารให้ถี่ขึ้น แทนที่จะกินอาหาร 3 มื้อหลัก ให้แบ่งเป็น 5 -6 มื้อต่อวัน เลือก กินคาร์โบไฮเดรตคุณภาพมากขึ้น เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ขนมปังโฮลวีต หรือคาร์โบไฮเดรตจากผัก ผลไม้ อย่างข้าวโพด เผือก หรือมันอบ เน้นโปรตีนจากเนื้อปลามากขึ้น โดยเฉพาะปลานึ่ง ระหว่างมื้อให้วางของขบเคี้ยวไว้ใกล้มือ เช่น มิกซนัท ผลไม้แห้ง อย่างลูกเกด ถั่วหรือ ธัญพืชอบต่างๆ ดื่มน้ำผลไม้ เป็นประจำทุกวันโดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจนเกินไป วิธีนี้ช่วยเพิ่มแคลอรี่อีกทางหนึ่ง ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เพราะช่วยสร้างกล้ามเนื้อแต่ไม่แนะนำให้ออกกำลังกาย แบบแอโรบิค เพราะวิธีนี้เหมาะกับการลดน้ำหนักมากกว่า
รับรองว่าวิธีนี้ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแบบไม่เสียสุขภาพแน่นอนค่ะ

ที่มา http://women.kapook.com/health00027/ 
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

อาหาร...ยาวิเศษเพิ่มพลังสมอง

“ สมอง ” ... กองบัญชาการของร่างกาย

“ สมอง ” เป็นอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การได้ยิน การมองเห็น การรับรู้กลิ่นและรส เป็นต้น นอกจากนี้สมองยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก การเรียนรู้ และความจำ สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาท (neuron) จำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์ที่มีแขนงประสาท (neuronal processes) งอกออกมา ประสานกันเป็นร่างแหเพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาท โดยมีอัตราความเร็วของการส่งสัญญาณตั้งแต่ 0.5-120 เมตร/วินาที เชื่อว่าเซลล์ประสาทจะมีจำนวนคงที่เมื่อแรกคลอด แต่การงอกของแขนงประสาทจะเพิ่มขึ้นได้หลังจากมีการกระตุ้นจากการเรียนรู้และ ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ทำให้สามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วขึ้น และมีการติดต่อประสานงานที่ต่อเนื่องครอบคลุม สมองจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความฉลาดและสติปัญญาได้

“ สารสื่อประสาท ” ปัจจัยที่ช่วยการทำงานของสมอง

เช่น เดียวกับอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย สมองต้องการสารอาหารเพื่อเป็นพลังงานและใช้ในการทำงาน การติดต่อกันระหว่างเซลล์สมองยังต้องการสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) อย่างน้อย 3 ชนิด ที่จะทำให้การส่งข้อมูลของสมองเป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ สารสื่อประสาทเหล่านี้สร้างมาจากสารอาหารต่างๆ ที่รับประทาน โดยมีวิตามินและแร่ธาตุช่วยในกระบวนการ...ได้แก่

อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ประสาท ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างความจำด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) จะมีอะซิทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าคนปกติ อะซิทิลโคลีนมีมากในอาหาร จำพวกไข่แดง ถั่ว ข้าวไม่ขัดสี ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา นม เนยแข็ง และผักโดยเฉพาะ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี เป็นต้น

โดปามีน (Dopamine) เกี่ยวข้องกับสมาธิ ความสนใจ และการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัว โดยจะเห็นได้จากผู้ที่เป็นโรคจิตเภท (schizophrenia) จะมีโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ โดปามีนมีมากในอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ถั่วต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 60-80 กรัม จะช่วยให้ตื่นตัว และมีพลังได้

ซีโรโตนิน (Serotonin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และควบคุมวงจรการนอนหลับ โดยซีโรโตนินจะทำงานเฉพาะในบริเวณสมองส่วนกลาง (brain rewards system) เมื่อเกิดความรู้สึกพอใจ พบว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีระดับของซีโรโตนินในสมองบริเวณนี้น้อยกว่า ปกติ สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช และขนมปัง จะช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นซีโรโตนินในสมอง โดยพบว่าภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบได้นาน หลายชั่วโมง
สมองและความจำดี ..... เริ่มต้นที่ “ อาหาร ”

สมองต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจดจำข้อมูลต่างๆ เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว ในระยะเริ่มแรกเด็กจะขาดสมาธิ และเลี้ยงยาก ต่อมาในระยะยาวจะทำให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาช้ากว่าเด็กปกติ หรืออาจปัญญาอ่อนได้ ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร สมองต้องการอาหารดังนี้...

เนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งสมอง นอกจากนี้ยังใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีกรดอะมิโน 2 ชนิดในเนื้อสัตว์ที่มีผลต่อการสร้างสารสื่อประสาท คือ ทริปโตแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เพื่อนำไปสร้างสารสื่อประสาทซีโรโตนิน และไทโรซีน (tyrosine) ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ โดยจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทโดปามีน

อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีไทโรซีนสูง เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง ตื่นตัว จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในช่วงเช้า และกลางวัน ส่วนอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่ำ และมีทริปโตแฟนสูง เช่น ข้าว ถั่วเล็ดแห้งต่างๆ
งา และขนมหวาน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในมื้อเย็น ที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขสงบ

แป้งและน้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง จึงควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ระดับของสารสื่อประสาทไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้เกิดอาการมึนหัว ง่วงนอน สับสน และอาจถึงกับเป็นลม ชัก หมดสติได้ แหล่งของแป้งและน้ำตาลควรมาจากข้าว ธัญพืชชนิดต่างๆ

ผักและผลไม้ ที่ มีกากใยมากกว่าขนมหวานเพราะมีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เนื่องจากใยอาหารจะช่วยในการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเร็วเกินไป สำหรับอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมาก หลังจากรับประทานจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมามากเพื่อรักษาระดับน้ำตาล และอาจทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว จนมีผลกับการทำงานของสมองได้

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน จึงไม่ควรให้ลูกรับประทานขนมหวานมากเกินไป เพราะจะมีผลต่อสมาธิในการเรียน ความจำ และการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะงอแงและเลี้ยงยาก

ไขมัน ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย กรดไขมันโอเมก้า- 3 ที่ประกอบด้วย EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า- 3 ไม่เพียงพอจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง IQ ต่ำ และอาจมีอาการทางจิตอื่นๆ ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็ก และมีผลต่อการมองเห็น กรดไขมันโอเมก้า- 3 มีมากในปลาทะเลทุกชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล เป็นต้น

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีองค์ประกอบของไขมันที่ ผ่านกระบวนการมาแล้ว (hydrogenated) เนื่องจากไขมันดังกล่าวได้มีการปรับโครงสร้าง เมื่อเข้าสู่สมองจะมีผลกระทบต่อการทำงาน และการส่งกระแสประสาทของเซลล์สมอง นอกจากนี้ไขมันที่ผ่านกระบวนการนี้ยังมีลักษณะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกาะและอุดตันเส้นเลือดได้ โดยหากไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้สมองบริเวณนั้นตาย และเป็นอันตรายถึงชีวิต

ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง โดยวิตามินบี ชนิดต่างๆ จะช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน วิตามินเอ ซี และอี จะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของสมองต่อสารต่างๆ ที่เป็นมลพิษ โซเดียม โปแทสเซียม และแคลเซียมช่วยในการส่งสัญญาณประสาทและกระบวนการเก็บความจำ เหล็กมีผลต่อสมาธิและการเรียนรู้ พบว่าเด็กที่ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะมีผลการเรียนที่ดี และสนใจอยู่กับบทเรียนได้นานขึ้น

อาหารกับโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's disease)

ถึงแม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบัน แต่สามารถป้องกันหรือชะลอสภาวะการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงไปกว่าเดิมได้ โดยวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ การหลีกเลี่ยงจากมลพิษ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง มีงานวิจัยมากมายพบว่าโรคสมองเสื่อมสามารถป้องกันได้ด้วยอาหารหลายชนิด เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินอี วิตามินซี ซึ่งมีอยู่มากในผักและผลไม้จำพวกมะเขือเทศ แครอท และ ผักขม ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ ทำให้ช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระ (free radicals) นอกจากนี้แล้ว DHA ที่มีในไขมันจากปลาทะเล ก็ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของเซลล์สมองได้ 

แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday
                   http://www.yourhealthyguide.com/article/an-food-brain.htm

Sunday, August 14, 2011

ผู้ให้กำเนิด WWW


ทิปส์ในการพัฒนาสมอง

ทิปส์ในการพัฒนาสมอง


1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาทีหลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจการตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็น เสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวันขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดีขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมองควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิ เจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม


วนิษากล่าวว่า คนทั่วไปมักมองว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมักจะหมกมุ่นอยู่กับตำรากองโต ใส่แว่นหนาเตอะและไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งมักเกิดกับคนในวงแคบ เช่น คนที่เก่งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์หรือดนตรี แต่ความจริงแล้ว อัจฉริยภาพมีมากกว่านั้น ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญาซึ่งเสนอว่ามนุษย์มีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแต่บางด้านอาจเด่นกว่าด้านอื่นและขึ้นอยู่กับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก

อัจฉริยภาพ 8 ด้านที่ว่า ได้แก่

อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร
อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์
อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจในตนเอง
อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์
อัจฉริยภาพด้านธรรมชาติ
และอัจฉริยภาพด้านดนตรี


สมองของคนเรามีน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกายโดยสมองใช้ออกซิเจนร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของการใช้ออกซิเจนในร่างกายทั้งหมด

สิ่งที่วนิษาพูดทำให้แปลกใจและลบความเชื่อหรือความรู้เก่าเกี่ยวกับสมองไป ได้เลย เพราะอัจฉริยภาพของคนไม่ได้อยู่ที่เซลล์สมอง ไม่ได้อยู่ที่น้ำหนักสมองและไม่ได้อยู่ที่รอยหยักของสมอง แต่อยู่ที่เส้นใยสมองและไมยีลินหรือไขมันสมองมาห่อหุ้ม เนื่องจากเซลล์สมองตายไปทุกวัน แต่จะมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยการทำซ้ำๆ กัน

ดังนั้น อัจฉริยภาพสร้างได้โดยการทำซ้ำๆ กันนั่นเอง เช่น หากเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ถ้าฝึกทุกวันเป็นเวลา 2 ปี ก็จะเป็นคนใหม่ที่เป็นอัจฉริยภาพด้านเปียโนได้ อย่างไรก็ตาม คนที่มีเส้นใยสมองมากที่สุดไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดเพราะสมองมีเนื้อที่ จำกัดในการเก็บเส้นใยสมอง สมองจึงมีการ "รีดทิ้ง" เส้นใยสมองในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในเวลานั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กแรกเกิดมีเส้นใยสมองมากที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กคนเดียวกันในอายุ 6 ขวบ และ 14 ปีและยิ่งโตขึ้นเส้นใยสมองยิ่งน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าสมองมีการจัดเก็บและมีแบบแผนในการเก็บเส้นใยสมอง


อัจฉริยภาพทั้ง 8 ด้าน วนิษาเขียนไว้อย่างน่าอ่านและเข้าใจง่าย ไม่ใช่หนังสือแบบวิทยาศาสตร์หรือแบบเรียนหนักๆ แต่คนทั่วไปอ่านสนุกพร้อมๆ กับได้เคล็ดลับต่างๆ ที่จะช่วยพัฒนาทักษะด้านต่างๆเมื่ออ่านหนังสือจบแล้ว จะทำให้ความหมายของอัจฉริยะเปลี่ยนไป

วนิษา เรซ หรือ หนูดี หญิงเก่งของไทย (อเมริกัน) วัย 30 ปี จบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้าน ครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา ปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง (Neuroscience) ในโปรแกรม Mind, Brain and Education มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกาปัจจุบัน

- เป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ (เพียงคนเดียวในไทย) และผู้ชนะล้านที่ 15 รายการ "อัจฉริยะข้ามคืน" ประธานกรรมการ บริษัท อัจฉริยะสร้างได้ จำกัด www.geniuscreator.com FROM: Mi Ho (26/7/50)

Wednesday, August 10, 2011

OneRepublic - Good Life

เพื่อเธอ

คณะรัฐมนตรีไทยชุดใหม่ล่าสุด ยิ่งลักษณ์ 1

คณะรัฐมนตรีไทยชุดใหม่ล่าสุด ยิ่งลักษณ์ 1
ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี


ประกาศ
แต่งตั้งรัฐมนตรี
(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 5 สิงหาคม พุทธศักราช 2554 แล้ว นั้น
บัดนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เลือกสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบไปแล้ว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
1.นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นรองนายกรัฐมนตรี / และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
2.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรองนายกรัฐมนตรี
3.พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
4.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองนายกรัฐมนตรี / รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
5.นายชุมพล ศิลปอาชา เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ / รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
6.นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
7.นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
8.พล.อ ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
9.นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
10.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
11.นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
12.นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
13.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
14.นายธีระ วงศ์สมุทร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
15.นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
16.พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
17.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
18.นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
19.นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
20.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
21.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
22.นายภูมิ สาระผล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
23.นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
24.นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
25.นายฐานิสร์ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
26.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
27.นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
28.นางสุกุมล คุณปลื้ม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
29.นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโยโลยี
30.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
31.นางบุญรื่น ศรีธเรธ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
32.นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
33.นายวิทยา บุรณศิริ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
34.นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
35.น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม พุทธศักราช 2554 เป็นปีที่ 66 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ที่มา กรมประชาสัมพันธ์ 
 

Medal of Honor 2010 - Linkin Park "The Catalyst" Gameplay Trailer | HD

didyouknow

http://didyouknow.org/thai/sitemapthai.htm

Facebook Marketing Statistics, Demographics, Reports, and News – CheckFacebook

Facebook Marketing Statistics, Demographics, Reports, and News – CheckFacebook

Tuesday, August 9, 2011

ลูกแม่

ครูซัน สมพงศ์ หมื่นจิตต์ - ลูกแม่
คำร้อง&ทำนอง โดย ครูซัน สมพงศ์ หมื่นจิตต์ ปี 2537

กว่าจะคลอด กว่าจะคลาน กว่าจะผ่าน..มาคิดดู
ที่ฉันมีเลือดนักสู้ เพราะฉันเคยอยู่ในท้องชาวนา...
ฉันเกิดมาจากความรัก ฉันโตมาจากน้ำใจ
รักของแม่แสนสดใส คือ ความยิ่งใหญ่สู่ผองชน
ยามฉันเจ็บแม่เจ็บกว่าฉัน แม่บากบั่นแม่ทุกข์แม่ทน
ยามมีไข้แม่ไถ่ถอน ก่อนจะนอนแม่สอนสวดมนต์

*ฉันจึงมีความรักให้คนทุกคน ฉันจึงมีน้ำใจให้คนทุกคน
แม่ห่วงลูกอยู่ทุกแห่งหน แม่อ่อนโยนดับความดื้อดึง"
"พระคุณแม่มากเกินคณานับ ลูกขอกราบด้วยความซาบซึ้ง
รักของแม่ยังติดตรึง เป็นคนดีที่หนึ่งในดวงแด
ลูกจะทนบนทางชีวิต ไม่ทำผิดไม่อ่อนแอ
ทุกข์ปานใดลูกจะไม่ยอมแพ้
จะเป็นคนดีของแม่... ตลอดไป
(ซ้ำ * จนจบ)

Saturday, August 6, 2011

Zeitgeist 2010: ปีนี้คนทั่วโลกค้นหาอะไรกัน

Thailand 

เมืองไทยทำให้ใครต่อใครตื่นตาตื่นใจได้เสมอ สิ่งที่คนไทยค้นหาบ่งบอกเรื่องราวหลากหลายที่แสดงถึง "วิถีแบบไทยๆ" สถานการณ์ทางการเมืองดูเหมือนจะเป็นเรื่องเด่นของปีนี้ที่ชาวไทยให้ความสนใจค้นหาข้อมูลกันอย่างล้นหลาม ตามมาด้วยเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่คนไทยสามารถรวมตัวกันได้อย่างน่าทึ่งและรวมน้ำใจแสดงพลังไปช่วยผู้เดือดร้อน ในขณะเดียวกัน คนไทยกับความบันเทิงก็ยากที่จะแยกจากกัน เห็นได้จากเพลงลูกทุ่งสะท้อนสังคมที่มาแรง รวมถึงรายการเดอะสตาร์ที่มีคนจำนวนมากติดตามอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่เรื่องราวในครอบครัวของดาราที่อยู่ในความสนใจของคนไทยมาจนถึงสิ้นปีไม่หลุดโผ สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทที่โดดเด่นมากในปีนี้ เช่น facebook และ YouTube เช่นเดียวกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอินเทรนด์ต่างๆ เช่น iPad iPhone หรือ Blackberry และ Nokia 
ที่มา: http://www.google.co.th/intl/th/press/zeitgeist2010/regions/th.html