Saturday, March 31, 2012

กินอะไร...ช่วยป้องกันภูมิแพ้

อาหารเพื่อสุขภาพ


สารอาหารที่ช่วยป้องกันภูมิแพ้ (Woman's Story)

          โรค ภูมิแพ้เป็นโรคเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ พบมากเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย พบได้มากทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และพบมากกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเมือง เพราะสังคมเมืองอากาศมักจะเต็มไปด้วยมลพิษ ฝุ่นละอองที่สกปรก เมื่อเราหายใจเข้าไปบางครั้งอาจจะทำให้เราเกิดอาการไอ จาม คัดจมูกได้โดยทันที

          นอกจากนั้นอาการภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นได้จากการที่ร่างกายแพ้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เช่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น ฝุ่นละออง อาหารทะเล เป็นต้น และถ้าร่างกายของเราได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะผ่านทางจมูก ทางปาก ทางผิวหนังก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดปฏิกิริยาต่อต้านทันที ด้วยการคันตามร่างกาย เยื่อบุจมูกบวมแดงทำให้น้ำมูกไหล จาม หลอดลมอักเสบและไอ

          สำหรับคุณผู้อ่านคนไหนที่ไม่อยากจะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ก็ควรดูแลรักษาสุขภาพ ตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ สงสัยใช่ไหมว่าอาหารที่มีประโยชน์จะมีอะไรบ้าง ติดตามอ่านกันเลยค่ะ

กรดไขมันโอเมก้า 3

          สำหรับโอเมก้า 3 จะพบมากในพวกเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วเหลือง ผักใบเขียวต่าง ๆ รวมถึงปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำเย็นอย่างปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปลาทะเลต่าง ๆ

แมกนีเซียม

          พบมากในถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง รวมถึงในเต้าหู ผักกวางตุ้ง สาหร่ายทะเล และผักใบเขียวต่าง ๆ ยิ่งเราทานอาหารที่มีสารอาหารประเภทนี้มากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้เราห่างไกลโรคหืดหอบ อีกทั้งยังชวยป้องกันไม่ให้เราป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบอีกด้วย

วิตามินซี

          วิตามินซีขึ้นชื่อในเรื่องของการป้องกันการเป็นไข้หวัดและภูมิแพ้มาก สังเกตเห็นได้จากเวลาที่เราไม่สบายหมอจะบอกให้เราทานวิตามินซีให้เยอะ ๆ ซึ่งวิตามินซีจะพบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น สตรอเบอร์รี่ กีวี ส้ม มะเขือเทศ มะนาว เป็นต้น

ควอร์ซิติน

          ควอร์ซิตินมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ พบมากในหัวหอม แอปเปิ้ล และชาเขียว

          สำหรับ อาหารต้องห้ามที่คนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ห้ามทานเลยก็คือ อาหารที่มีเกลือเป็นส่วนผสม อาหารที่มีมันโปรตีนจากไข่และนม รวมทั้งมัสตาร์ด เนยถั่ว และน้ำมันเนย เพราะถ้าขืนเราทานเข้าไปอาจทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบขึ้นมาหนักมากกว่าเก่า ได้ค่ะ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงไปทานพวกผักและผลไม้จะดีที่สุดค่ะ

ทำความสะอาด

          นอก จากการดูแลเรื่องของอาหารการกินแล้วก็ควรให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัวของเรา ด้วย เช่น การทำความสะอาดบ้าน เพราะการที่บ้านสกปรกมีฝุ่น มีเชื้อราฝังแน่นอยู่ตามผนัง ฝ้าเพดาน อาจจะทำให้เราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรังและไม่หายขาด

          ทางที่ดีที่สุดเราควรดูแลเรื่องความชื้นภายในบ้าน เช่น รักษาความสะอาดของห้องน้ำและห้องครัว ไม่ให้เปียก แฉะ อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ชิดตัวบ้าน เพราะการที่เราปลูกต้นไม้ชิดตัวบ้านมากเกินไป อาจทำให้รากของต้นไม้นำความชื้นไปสู่ฐานของบ้านได้

          ถ้าบ้านไหนมีเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศ ควรหมั่นทำความสะอาดทุก 3 เดือน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และถ้าเลี้ยงสัตว์เช่น หมา แมว ก็ควรนำไปเลี้ยงไว้นอกบ้านและหมั่นทำความสะอาดอย่างเป็นประจำ

          ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้รับรองว่า ทุกคนในบ้านของคุณต้องไม่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อย่างแน่นอนค่ะ

15 แกรมม่าอังกฤษ ที่ใช้ผิดกันบ่อย ๆ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แม้ว่าภาษาอังกฤษจะไม่ใช่ภาษาราชการของคนไทยเรา แต่ก็ต้องปรบมือให้ที่อย่างน้อยเราก็สามารถสื่อสารกับคนต่างชาติได้ดีใน ระดับหนึ่ง แม้จะเป็นภาษาพูดที่สปีคกันแบบสเนค ๆ ฟิช ๆ (งู ๆ ปลา ๆ) แต่ก็ยังคุยกันได้รู้เรื่อง (แม้บางครั้งอาจมีการใช้ภาษาสากลอย่างภาามือและภาษากายเข้ามาช่วยด้วยก็ตาม ^^") แต่เมื่อมาถึงการสื่อสารที่เป็นทางการขึ้นอย่างการเขียนแล้วล่ะก็ ต้องยอมรับเลยว่าเรายังไม่ค่อยแม่นเรื่องไวยากรณ์หรือแกรมม่ากันสักเท่าไหร่ ก็เลยมีใช้ผิดใช้ถูกกันอยู่เรื่อย บ้างก็มาจากความสับสนจากการพูด เพราะชินแต่พูดอย่างเดียว แถมยังออกเสียงกันแบบถูกบ้างผิดบ้าง พอให้มาเขียนก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องสะกดอย่างไร

          วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยหยิบเรื่องราวไวยากรณ์ภาษาอังกฤษน่ารู้ จากเว็บไซต์ copyblogger มาฝากกัน เขาพูดถึงเรื่องแกรมม่าภาษาอังกฤษ 15 รูปแบบ ที่คนมักใช้ผิดกันบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่กับคนไทยเท่านั้น แต่เป็นกับคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักทั่วโลกเลยล่ะ

         ใครที่สนใจหรือได้ใช้ภาษาอังกฤษกันอยู่บ่อย ๆ มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยจ้า

1.  YOUR / YOU'RE
          Your  เป็นสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ว่าของสิ่งนั้น อันนั้น เป็นของคู่สนทนา เช่น I'm your girlfriend. (ฉันเป็นแฟนของเธอนะจ๊ะ)

          You're เป็น รูปย่อของคำว่า you are อันมีความหมายว่า "คุณคือ..." เช่น You're my boyfriend. (คุณคือแฟนของฉันนะ) ทว่าเมื่อถูกนำมาย่อในรูป you're แล้วดันออกเสียงเหมือนกับ your ซะเนียนเลย เมื่อมาสู่ภาษาเขียนก็เลยสร้างความสับสนอยู่ไม่น้อย เพราะออกเสียงกันเพลินจนไม่รู้ว่าจริง ๆ ต้องใช้คำไหนกันแน่ เรื่องนี้ไม่ยากจ้ะ แค่ลองสังเกตจากบริบทโดยรอบก็จะพอให้เดาได้ไม่มีพลาดว่าควรจะเป็น your หรือ you're

2. IT'S / ITS

            It's
เป็นรูปย่อของคำว่า it is, it was และ it has

          Its เป็น สรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของว่าคือ ของมัน เช่น This dog is very old. Its fur starts to fall off. (เจ้าตูบตัวนี้แก่มากแล้ว ขนของมันเริ่มจะหลุดร่วง)

          เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการพูดที่จะนำไปซึ่งการเขียนผิด เวลาต้องการใช้ It's ก็ให้พูดออกมาดัง ๆ เลยว่ามันคือ It is ทีนี้จะได้ไม่เขียนผิดอีกนะ

3. THERE / THEIR / THEY'RE

          มาดูที่ there และ their ซึ่งออกเสียงเหมือนกันอย่างกับแกะกันก่อนเลย ทั้งสองคำนี้แม้จะออกเสียงเช่นเดียวกัน แต่ว่าความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง there ใช้แทนสถานที่ หมายถึง ที่นั่น ในขณะที่ their เป็นสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ แปลว่า ของพวกเขา หากรู้ความหมายที่ถูกต้องแบบนี้แล้ว ก่อนจะเขียนก็ลองทำความเข้าใจกับประโยคนั้นก่อนว่าต้องการสื่อความว่าอย่าง ไร รับรองว่าจากนี้ไปไม่ใช้ผิดแน่นอน

          ส่วน they're คำ นี้พบว่าออกเสียงคล้าย ๆ กับ there และ their แต่หากออกเสียงช้า ๆ ชัด ๆ แล้วล่ะก็จะพบว่ามันไม่เหมือนกันเลยล่ะ ทั้งนี้ they're เป็นรูปย่อของ they are ซึ่งแปลว่า "พวกเขาเป็น/อยู่/คือ..." เช่น They're the hottest idols at this moment. (พวกเขาคือเหล่านักร้องที่ฮ็อตที่สุดในตอนนี้) รู้ทั้งการออกเสียงและความหมายที่ถูกต้องของพวกมันแล้ว จะใช้คำไหน ๆ ในครั้งต่อไปคงจะไม่สับสนกันแล้วนะจ๊ะ

4. AFFECT / EFFECT

            Affect
เป็น กริยา หมายความว่า มีผลต่อหรือส่งผลกระทบ เช่น Your ability to communicate clearly will affect your income. (ความสามารถในการสื่อสารอย่างชัดเจนจะส่งผลต่อรายได้ของคุณนะจ๊ะ ^^)

          Effect มัก ใช้เป็นคำนาม แปลว่า ผลกระทบ เช่น The effect of poor grammar on a person's income is well documented. (มีข้อสนับสนุนอย่างชัดเจนว่า ผลกระทบจากการใช้แกรมม่าผิด ๆ นั้นส่งผลต่อรายได้ของบุคคลคนหนึ่ง ๆ )

          เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ effect จากการใช้แกรมม่าผิด ๆ มา affect เงินเดือนของคุณ จากนี้ไปก็อย่าใช้ผิดอีกนะ ;D

5. THEN / THAN

          สองคำนี้แม้จะออกเสียงต่างกัน (then/than - เด็น/แดน) แต่ถ้าไม่ระวัง หรือออกเสียงผิด ๆ มาตั้งแต่ตอนพูดแล้วก็จะก่อให้เกิดความสับสนต่อการเขียนได้

          Then มัก ใช้เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) สามารถใช้ได้ในหลายความหมาย ทั้งแปลว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาในแง่ของเวลา เช่น I had a serious argue with her, she never talks to me again since then. (ผลทะเลาะกับเธอหนักมาก แล้วเธอก็ไม่คุยกับผมอีกเลยนับแต่นั้นมา) หรือใช้เพื่อบอกลำดับขั้นตอน เช่น To make a cake, put the flour in a bowl then crack an egg.. (ในการทำเค้ก ให้ใส่แป้งลงในชาม จากนั้นตอกไข่ลงไป..)

          Thanใช้ในการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น Watermelon is bigger than orange. (แตงโมลูกใหญ่กว่าส้ม)

          เห็นหรือยังว่าทั้งสองคำนี้ต่างกันทั้งในเรื่องของเสียงและความหมายอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

6. LOOSE / LOSE

          มาถึงสุดยอดคำที่มักใช้กันผิดอีกคู่หนึ่งอย่าง loose กับ lose ที่ออกเสียงคล้ายกัน (ลูส) แต่ความหมายไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย loose แปลว่า หลวม ในขณะที่ lose แปลว่า แพ้หรือทำหาย ลองมาดูความแตกต่างจากตัวอย่างต่อไปนี้

          If your pants are too loose, you might lose your pants. แปลว่า ถ้าหากกางเกงของคุณมันหลวมเกินไป คุณก็มีสิทธิ์ที่จะทำกางเกงหายไปได้นะจ๊ะ (หลวมจนหลุดนั่นเอง หรือกางเกงหายไปจากสะโพกนั่นเอง)

7. ME, MYSELF, AND I

          Me/I ด้วยทั้ง me และ I ต่างก็แปลว่า "ฉัน" หลาย ๆ คนจึงสับสนว่าทั้งคู่ใช้แตกต่างกันอย่างไร me ใช้เป็นกรรมของประโยค ส่วน I นั้นใช้เป็นประธาน ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น I love you and you love me. (ฉันรักเธอ และ เธอรักฉัน) นั่นไงล่ะจ๊ะ บอกความแตกต่างของคำทั้งสองได้ดีทีเดียว

          Myself คำนี้เป็นสรรพนาม แปลว่า ตัวของฉัน เช่น I always think to myself, 'how wonderful that you love me.' (ฉันคิดกับตัวเองอยู่เสมอว่า ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้ที่คุณรักฉัน) โดยคำในตำแหน่ง myself นั้น จะไม่สามารถนำ I หรือ me ไปวางแทนที่ได้เด็ดขาด (หากนำไปวางก็คงรู้สึกแปลก ๆ อยู่ล่ะ)

8. การใช้ เครื่องหมาย " ' "

          ภาษาอังกฤษเรียกเครื่องหมายวรรคตอนนี้ “ ‘ ” ว่า อะโพสโทรฟี (apostrophe) ส่วนภาษาไทยเรียกตามลักษณะที่ปรากฎว่าเครื่องหมาย ฝนทอง เพราะมันเหมือนหยาดฝน หรือจะว่าไปก็เหมือนกับไม้เอก เครื่องหมายวรรณยุตก์ของเรานี่เอง

          ในภาษาอังกฤษจะใช้ ฝนทอง หรือเครื่องหมายอะโพสโทรฟี ใน 2 กรณี คือ

          - ใช้ในคำย่อต่าง ๆ เช่น isn't จาก is not, don't จาก do not เป็นต้น และ

          -  ใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น This is Paula's chilli paste. (นี่คือน้ำพริกของพรหล้า) โดยคำนามที่อยู่ด้านหน้าเครื่องหมาย " ' " จะแสดงความเป็นเจ้าของนามที่อยู่ด้านหลังเครื่องหมาย " ' " เสมอ (ในที่นี้ คำว่า chilli paste อยู่หลังเครื่องหมายอะโพสโทรฟี มันจึงต้องกลายเป็นสมบัติในครอบครองของ Paula ไป กลายเป็น น้ำพริกของพรหล้านั่นเอง)

9. COULD OF, WOULD OF, SHOULD OF คำเหล่านี้ไม่มีใช้กันนะ

          คำว่า could've , would've และ should've (ซึ่งเป็นคำย่อของ could have, would have และ should have) เมื่อใช้ในภาษาพูดแล้ว ยามฟังเหมือนกำลังออกเสียงคำว่า could of, would of และ should of (ลองออกเสียงกันดูนะจ๊ะ) แต่ทั้งสามคำนี้ล้วนเป็นคำที่ไม่มีความหมายใด ๆ เพราะฉะนั้น ยามจะนำคำพูดมาเขียนก็อย่าเผลอเขียน could/would/should of ลงไปนะจ๊ะ ท่องให้ขึ้นใจว่ามันคือ could've , would've และ should've ต่างหาก !!

10. COMPLEMENT / COMPLIMENT

          สองคำนี้แม้จะออกเสียงคล้าย ๆ กัน (แต่ถ้าตั้งใจฟัง ตัว -ple- ของคำว่า complement จะออกเสียงยาวกว่า -pli- ของ compliment อยู่นิดหนึ่ง) แต่ความหมายแตกต่างกันไปคนละทิศละทางเลยล่ะ

          Complementเป็น คำนาม แปลว่า ส่วนที่เพิ่มหรือเติมเข้าไป หรือเป็นกริยาที่แปลว่า เพิ่ม/เติมเข้าไปก็ได้ เช่น Paula and Jon complemented each other well. (พรหล้าและจ้อนต่างเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี

          Complimentเป็น คำนาม แปลว่าคำชม เช่น Tidtie was so pround by the compliment of her teacher. (ติ๊ดตี่รู้สึกปลาบปลื้มมากที่ได้รับคำชมจากคุณครู) หรือ She can't stop compliment about the groom that he's the complement of her life. (เธอไม่สามารถจะหยุดชื่นชมเจ้าบ่าวของเธอได้ ว่าเขาเป็นคนที่เติมเต็มชีวิตของเธอ)

11. FEWER / LESS

          ทั้งสองคำนี้ต่างมีความหมายเชิงเปรียบเทียบในทางที่น้อยลงหรือด้อยกว่า แต่ข้อแตกต่างคือ fewer ใช้กับจำนวนที่นับได้ ส่วน less ใช้กับจำนวนที่นับไม่ได้ เช่น

          Robert has written fewer poems since he got a real job. (โรเบิร์ตเขียนโคลงกลอนน้องลงกว่าเดิม ตั้งแต่เขาได้งานจริง ๆ จัง ๆ) ในกรณีนี้ใช้ fewer เพราะว่า poem (โคลงกลอน) สามารถนับจำนวนได้

          Compare with Robert, Howard has less inspiration to write a poem. (หากเทียบกับโรเบิร์ตแล้วล่ะก็ โฮวาร์ดมีแรงบันดาลใจที่จะเขียนโคลงกลอนน้อยกว่าเสียอีก) ใช้ less กับกรณีนี้เพราะ inspiration (แรงบันดาลใจ) เป็นเรื่องของนามธรรมที่ไม่มีหน่วยนับ จับต้องไม่ได้นั่นเอง

12. HISTORIC / HISTORICAL

          สองคำนี้ต่างเป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ที่ทำหน้าที่ขยายคำนามเหมือนกัน เขียนคล้าย ๆ กัน แถมความหมายก็เป็นไปในเชิงใกล้เคียงกัน ก็เลยสร้างความสับสนได้ไม่น้อย จึงขอไขข้อข้องใจถึงความแตกต่างของทั้งสองคำไว้ดังนี้

          Historic หมาย ความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชวนให้จดจำจารึกระลึกไว้ เช่น The accident of the Titanic is a historic disaster. (อุบัติเหตุเรือไททานิคนับเป็นความหายนะทางประวัติศาสตร์)

          Historical หมาย ความว่า อะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ควรค่าแก่การจดจำของคนหมู่มาก เป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไรนักก็ได้ ตัวอย่างต่อเนื่องมาจากด้านบนว่า The accident of the Titanic is a historic disaster but Jack and Rose were not the historical figure. (แม้อุบัติเหตุเรือไททานิคจะเป็นความหายนะทางประวัติศาสตร์ แต่แจ็คกับโรสไม่ได้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริง)

13. PRINCIPAL  / PRINCIPLE

          สองคำนี้ออกเสียงคล้ายกันมากจนฟังแต่ศัพท์เดี่ยว ๆ แล้วอาจแยกไม่ออก แต่เมื่อฟังเมื่อมันในรูปประโยคก็จะสามารถแยกแยะออกได้โดยดูจากบริบทรอบข้าง

          Principal เป็นคำนามแปลว่า ผู้มีอำนาจสูงสุด หรือเมื่อเป็นคำคุณศัพท์ก็แปลว่า ซึ่งสำคัญที่สุด เช่น He is the the principal of a kindergarten school. (เขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง)

          Principleแปล ว่าหลักการ ทฤษฎี กฏ หรือหลักศีลธรรมก็ได้ เช่น It's against the principle to accept gifts from clients. (การรับของขวัญจากลูกค้านับเป็นเรื่องที่ผิดกฎ)

14. LITERALLY 
          หลาย ๆ คนคงรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นเจ้าคำนี้ปรากฏอยู่ในข้อความใด ๆ ว่าตกลงมันมีความหมายว่าอย่างไรกันหนอ คำว่า literally นี้แปลว่า หมายความตามตัวอักษร ไร้ซึ่งการเทียบเคียงหรือเปรียบเปรยใด ๆ เช่น I'm literally dying of shame. ประโยคนี้หากแปลผ่าน ๆ ก็แปลว่า ฉันกำลังจะตายเพราะความอับอายอยู่แล้ว แต่คำว่า literally ที่เติมเข้าไป เน้นให้เห็นจริง ๆ ว่า คนพูดกำลังอับอายขายขี้หน้าถึงขีดสุดจนจะตายอยู่รอมร่อแล้วจริง ๆ นั่นเองจ้ะ (ประมาณว่าเสียหน้ายับเยินจนจิตตก พาลให้ป่วยใกล้ตายซะอย่างนั้น)

15. สื่อความผิดพลาดจากการเรียงคำที่มีน่าสับสน
          นี่เป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ หากมีคำซึ่งสามารถแปลได้หลายความหมายตามตำแหน่งต่าง ๆ ที่วางลงไปในประโยค เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนและเห็นภาพ ไปดูตัวอย่างกันเลย

          After rotting in the cellar for weeks, my brother brought up some oranges. ประโยคนี้มีความหมายตามตัวว่า หลังจากเปื่อยเน่าอยู่ที่ห้องใต้ดินตั้งหลายสัปดาห์ ที่ชายของฉันก็ขนส้มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ..ฟังดูแล้วงง ๆ ปนสยอง ว่าพี่ชายเนี่ยนะที่เน่าเปื่อยอยู่ในห้องใต้ดิน ตกลงนี่มันคนหรือซอมบี้กันล่ะเนี่ย O_o ! 

          ทั้งที่ความจริงแล้วการสื่อความที่ถูกต้องน่าจะเรียงประโยคแบบต่อไปนี้ My brother brought up some orange that had been rotting in the cellar for weeks. ซึ่งแปลตามตัวได้อย่างชัดเจนว่า พี่ชายขนส้มที่เน่าจากการถูกเก็บลืมไว้ในห้องใต้ดินขึ้นมาจำนวนหนึ่ง หรือเอาง่าย ๆ ว่า พี่ชายขนส้มเน่าขึ้นมาจากห้องใต้ดินนั่นเอง

          ด้านบนนี้เป็นตัวอย่างความกำกวมของการเรียงคำในประโยค ซึ่งความจริงทั้งสองประโยคต่างก็แปลออกมาได้เหมือนกัน แต่ประโยคที่แปลออกมาแล้วมีความหมายที่เป็นเหตุเป็นผลก็คือประโยคหลังนั่น เอง นอกจากตัวอย่างนี้แล้วก็ยังมีประโยคที่สามารถเข้าข่ายกำกวมได้อีกมากมาย เพราะฉะนั้นเขียนเสร็จแล้วก็ต้องอ่านตรวจทานดูดี ๆ ว่าประโยคที่คุณเขียนลงไปนั้นแปลออกมาแล้วได้ความหมายที่เข้าใจได้หรือไม่ ด้วยนะ

          เป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ย กับเรื่องจุกจิกในภาษาอังกฤษที่มักสับสนและใช้กันผิดอยู่บ่อย ๆ ใครอ่านและทำความเข้าใจตาม 15 ข้อที่นำมาฝากกันด้านบนนี้แล้ว คราวหน้าก็หวังว่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้ลื่นไหลไม่มีสะดุดกันนะจ๊ะ :D

จะนอกใจหรือใจเดียว

 จะนอกใจหรือใจเดียว

จะนอกใจหรือใจเดียว (Men's Health)

เรื่อง Men’s Health UK แปลและเรียบเรียง Albatross

          สังคม ส่วนใหญ่มักประณามการคบชู้ แต่ถ้าการทำเจ้าชู้ให้ถูกจังหวะเป็นครั้งคราวช่วยทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นได้ล่ะ อ่านต่อไปนะครับ ความลับเกี่ยวกับความซื่อสัตย์แห่งศตวรรษที่ 21 จะได้ถูกเปิดเผยเสียที

          คุณรู้ว่าไม่ควร แต่บางครั้งการทำเป็นไม่สนใจเสียงเล็ก ๆ ในหัว (หรือไม่ว่าเสียงนั่นจะมาจากไหนก็แล้วแต่) ที่ไม่ยอมหายไปง่าย ๆ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้าพูดกันตามหลักของเหตุผล วิวัฒนาการของผู้ชายคือหลักฐานที่พอจะบอกได้ว่า การมีผัวเดียวเมียเดียวน่าจะเป็นแนวคิดที่สังคมสมัยใหม่สร้างขึ้นมา แล้วการนอกใจจะเป็นผลดีกับคุณได้บ้างไหมนะ

          ตามผลการสำรวจความเห็นเมื่อปี 2009 ผู้ชาย 1 ใน 10 ราย บอกว่า จะนอกใจถ้าคิดว่าเอาตัวรอดได้ แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำอะไรลงไป อาจมีคำถามที่สำคัญกว่าข้อที่ว่าคุณจะถูกจับได้หรือเปล่าเสียอีก นั่นคือคำถามที่ว่าการนอกใจเป็นผลดีกับคุณหรือเปล่า ไม่ว่าจะอย่างไร การนอกใจก็มีผลต่อสุขภาพ ความสุข และแม้กระทั่งเงินเดือนของคุณ ฉะนั้น ขอให้อ่านต่อไปให้จบ แล้วคุณจะรู้ว่าเสียงเล็ก ๆ นั่นจะทำให้บางแง่มุมของชีวิตคุณดีขึ้นได้ในโอกาสใดบ้าง

เงิน
ทำร้ายจิตใจ แต่ได้เงิน

          หากการเป็นเพื่อนเที่ยวไม่ใช่สิ่งที่คุณทำเป็นงานพิเศษ คุณก็ไม่น่าจะได้เงินจากหญิงอื่นหรอกครับ แต่การยอมรับเรื่องการคบสาวทีละหลาย ๆ คนอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เงินเดือนคุณมีศูนย์เพิ่มขึ้นมาอีกตัวก็ได้นะ ครับ เพราะการสำรวจโดย MSBC พบความสัมพันธ์ระหว่างการมีรายได้สูง ๆ กับการนอกใจ โดยชี้ให้เห็นว่าในกลุ่มผู้ชายที่มีรายได้ต่ำกว่า 21,500 ปอนด์ มีคนที่นอกใจอยู่ 21 เปอร์เซ็นต์

          ส่วน ในกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 185,000 ปอนด์ ตัวเลข ดังกล่าวจะพุ่งขึ้นเป็น 32 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ ลองนึกถึงกระแสเคมีที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างกายผู้ชายรวย ๆ ก็ได้ครับ ตามที่ ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ นักมานุษยวิทยาชีวภาพ ระบุว่า สารเคมีที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเพศกับสาวคน ใหม่ ทั้งอะดรีนาลิน โดพามีน และเทสทอสเทอโรน คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ในที่ทำงานพอ ๆ กับในห้องนอนเลยล่ะ

          สิ่งที่ควรทำ ถึงจะทำใจให้ยอมรับความรู้สึกผิดที่นอกใจแฟนเพียงเพื่อประโยชน์เรื่องเงิน ได้ คุณก็ยังจะต้องวางฟอร์มไม่น้อยเพื่อให้ทำสำเร็จ “โดยธรรมชาติแล้วพวกผู้หญิงจะสนใจผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองครับ” แมทธิว ฮัลซีย์ นักเสริมสร้างพลังชีวิต กล่าว “ไม่ว่าจะในด้านภาษากายหรือพฤติกรรม ผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดย่อมเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นสูงที่สุด อยู่แล้วล่ะครับ”

          เขา แนะให้ใช้วิธีถึงเนื้อถึงตัวเพื่อต่อใจสาว ไม่ใช่ให้ทำรุ่มร่ามกับเธอนะครับ แต่ให้ทำกับผู้ชายด้วยกันต่างหาก การตบหลังเพื่อนหรือตีแขนเด็กเสิร์ฟตอนเอ่ยคำขอบคุณสำหรับบริการที่ดี จะทำให้เธอรู้สึกว่าคุณเป็นผู้ชายที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นคนละคนกัน แถมยังแหกปากตะโกนว่า “ทำงานดีนี่ไอ้น้อง” เธอก็คงไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ ให้คุณแล้วล่ะครับ

สุขภาพ
ซื่อสัตย์ไว้แล้วจะดีเอง

          การ คบผู้หญิงเพียงคนเดียวดีต่อสุขภาพของคุณมากกว่า การพยายามจะคบทีละหลาย ๆ คนเยอะเลยครับ ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ให้เห็นว่า ผู้ชายที่สมรสมีอายุยืนกว่า สุขภาพดีกว่า และคาดหวังได้มากกว่าว่า น่าจะได้รับการดูแลรักษาที่บ้านในยามแก่ตัวลง และการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยโอทาโกพบว่า การสมรสยังช่วยลดโอกาสที่คุณจะป่วยเป็นโรคทางจิตเวชด้วย

          ถึงการศึกษาทั้งคู่นี้จะไม่ได้บอกว่าผู้ชายที่สมรสพวกนั้นไม่เคยนอกใจภรรยา เลย แต่การศึกษาที่มหาวิทยาลัยตูรินพบว่า คนไข้ที่มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นไมเกรน และโรคหลอดเลือดโป่งพองที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตคือผู้ชายที่คบชู้ ซึ่งคงเป็นเพราะความเครียดที่ต้องคอยโกหกนั่นแหละครับ

          สิ่ง ที่ควรทำ ใส่ใจตัวเองด้วยการใส่ใจในความสัมพันธ์ของคุณนะครับ นักจิตวิทยา จอห์น กอตต์แมน ระบุถึง “อัตราส่วนมหัศจรรย์” ของพฤติกรรมที่จัดเป็นการใส่ใจในความสัมพันธ์ นั่นคือในแต่ละครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์เชิงลบคู่สมรสควรจะชดเชยด้วยการมีปฏิ สัมพันธ์เชิงบวก 5 ครั้ง เริ่มนับกันบนฟลอร์เต้นรำก็ได้ เพราะงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยกอดดิงนานพบว่า ถ้าคุณเป็นนักเต้นเท้าไฟที่หาตัวจับได้ยากคุณก็จะเป็นที่สนใจของสาว ๆ มากกว่า

          แต่ถ้าดันไปมีเซ็กซ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา คุณก็ควรจะสารภาพกับเธอ การศึกษาโดยมหาวิทยาลัยโคโลราโดสเตทพบว่า ผู้ชายที่สารภาพจะมีปัญหาด้านสุขภาพน้อยกว่าผู้ชายที่พยายามจะปิดยังนะครับ


 จะนอกใจหรือใจเดียว

เซ็กซ์
ไม่นอกใจ...ได้อีกแน่

          ผู้ชายคนหนึ่งมีเซ็กซ์กับผู้หญิง 1 คน ส่วนอีกคนมีเซ็กซ์กับผู้หญิง 2 คน แน่ใจหรือเปล่าว่าคนหลังเหนือชั้นกว่า ผมว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ การศึกษาที่ใช้ชื่อว่า Money, Sex and Happiness โดยนักเศรษฐศาสตร์ที่ดาร์ตเมาท์คอลเลจในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยวอร์วิกบ่งชี้ว่า การมีคู่ขาเยอะขึ้นไม่ได้แปลว่าโดยรวมแล้วคุณจะมีเซ็กซ์เยอะขึ้นด้วย ถ้าความประมาททำให้คุณถลำตัวไปแล้ว ก็มีโอกาสที่คุณจะลงเอยด้วยการเป็นโสดอีกครั้ง

          นี่ ไม่ใช่เหมืองทองสำหรับเรื่องอย่างว่า ซึ่งคุณอาจจะเคยฝันกลางวันไว้เป็นฉาก ๆ เคต ฟิเจส ผู้เขียน Couples The Truth บอกว่า อันที่จริงชายโสดมีโอกาสที่จะอดอยากปากแห้งมากกว่าผู้ชายที่แต่งงานแล้วตั้ง 20 เท่าเชียวนะครับ ไทเกอร์อาจจะเคยล่าเหยื่อได้ง่าย ๆ แต่พนันได้เลยว่าทุกวันนี้ ชีวิตเซ็กซ์ของเขาจะต้องตกต่ำถึงขีดสุดอย่างแน่นอน

          สิ่ง ที่ควรทำ ถึงการฮันนีมูนจะจบลงแล้ว คุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเจ้าชู้ไปทั่ว “คุณอาจมีชีวิตเซ็กซ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ขณะที่ความสัมพันธ์ดำเนินไปเรื่อย ๆ นี่แหละ” ฟิเจสกล่าว ทำให้ไฟปรารถนาในตัวเธอคงความคุกรุ่นด้วยการปรุงอาหารที่ช่วยกระตุ้นความ ต้องการให้เธอกินบ่อย ๆ นะครับ

          สเต็กที่เสิร์ฟพร้อมกับเห็ดและมะเขือเทศนับเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะล้วนอุดมด้วยวิตามินบี (ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศในร่างกายของเธอ) และอย่าลืมเสิร์ฟผลิตภัณฑ์จากองุ่นให้เธอจิบ พอกรึ่ม ๆ ด้วยล่ะ เพราะการวิจัยที่มหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มไวน์แดงวันละ 1-2 แก้วจะร้อนแรงกว่าน่ะสิ

สถานภาพ
ไม่เจ้าชู้ ไม่เสียชื่อ

          ใน ความคิดของคุณ การเป็นผู้ชายที่ชอบหักอกผู้หญิงเล่นอาจดูเซ็กซี่ องอาจ และสุดเจ๋ง แต่การศึกษาระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยเนวาดาในลาสเวกัส ชี้ให้เห็นว่าไม่น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้คุณชนะใจเพื่อน และมีอิทธิพลเหนือผู้คนหรอกครับ เพราะการวิจัยนี้ระบุว่า 82-94 เปอร์เซ็นต์ ของคนในประเทศแถบตะวันตกไม่ยอมรับเรื่องการนอกใจ

          “พวกเราเป็นคนประเภทปากว่าตาขยิบกันสุด ๆ เลยล่ะครับ” ฟิลลิป ฮอดสัน จากสมาคมให้คำปรึกษา และจิตบำบัดของอังกฤษ กล่าว “มีพวกเราหลายคนที่ทำแบบนั้น แต่ถ้าเป็นคนอื่นท่า เราก็ยังเห็นว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี” แถมยังได้ไม่คุ้มเสียอีกต่างหาก

          สิ่งที่ควรทำ นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเจอร์เจียในสหรัฐฯ พบว่า การรู้จักควบคุมตนเองเป็นคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ถ่ายทอดถึงกัน ซึ่งแปลว่าถ้าเพื่อน ๆ คุณทุกคนอยู่กินกับแฟนอย่างมีความสุข โอกาสที่คุณจะไปหาเศษหาเลยนอกบ้านจะลดน้อยลงด้วย

          อย่าง ไรก็ดี ถ้าเพื่อน ๆ คุณดันไปทำตัวเลียนแบบหนุ่มเนื้อหอมที่ชื่อ "แอชลีย์ โคล" คุณคงจะต้องสร้างชื่อด้วยการฉีดน้ำหอมแทน ขอแนะนำให้ใช้น้ำหอมกลิ่นส้ม เพราะการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science พบว่า กลิ่นส้มมีความเกี่ยวโยงกับความบริสุทธิ์สะอาด ความมีศีลธรรม และพฤติกรรมที่ดีงาม ถึงคุณจะไม่ได้ทำตัวแบบนั้นเลยก็เถอะ

 จะนอกใจหรือใจเดียว
ความสุข
สุขนั้นนิรันดร

          ถึงอัตราการหย่าร้างจะชวนให้คิดในทางตรงกันข้าม แต่การศึกษาส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระยะยาวจะทำให้คุณมีความสุขในระยะยาวเช่นกัน และตัวเองล่าสุดจาก National Marriage Project ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียในสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า ผู้ชายที่แต่งงานแล้วถึง 63.2 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตัวเองเป็นคนที่ “มีความสุขมาก” ไม่ว่าจะเป็นเพราะการคาดหวังเรื่องลูก ๆ หรือแค่ความจริงที่ว่าคุณอาจมีเซ็กซ์ได้แทบทุกเมื่อและทุกลีลาที่ต้องการก็ ตาม

          แต่ฟิเจสบอกว่า ถ้าคุณนอกใจแฟน ความสุขที่ว่าก็ไม่น่าจะดำรงต่อไปได้ “ธรรมเนียมปฏิบัติแบบใหม่ดูเหมือนว่า “ถ้าคุณพลาดครั้งเดียวก็จบกัน” นะคะ”

          สิ่งที่ควรทำ ข้อนี้คุณคงต้องทำใจกันหน่อย แต่วิธีที่จะทำให้คงความซื่อสัตย์เอาไว้ได้คือการเจ๊าะแจ๊ะกับหญิงอื่นนี่ ไม่ได้พูดเล่นนะครับ การวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยลิวเวนในเบลเยียมชี้ให้เห็นว่า ยิ่งยอมเผชิญหน้ากับมันมากเท่าไร เราก็จะยิ่งอดทนต่อความเย้ายวนใจได้ดีขึ้นเท่านั้น “ความอดทนของเราจะเพิ่มขึ้น

          ถ้าเราเพิ่งเผชิญกับความเผ้ายวนใจในทำนองเดียวกัน” จริง ๆ แล้วการคุยกับผู้หญิงที่อาจจะเคยต่อใจให้คุณออกนอกลู่ นอกทางไปบ้าง จึงช่วยให้คุณมีความแน่วแน่มากขึ้น ทั้งยังทำให้ความสัมพันธ์ของคุณเองเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสุขยิ่งขึ้นและ มั่นคงกว่าที่เคย ขอแค่จำไว้ให้ดีว่าตอนที่ลองทำเป็นครั้งแรก คุณจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้...ห้ามเผลอใจเด็ดขาดครับ

6 วิธีดี ๆ ในการเลือกใส่และดูแลรักษาเสื้อผ้าสีดำ

6 วิธีดี ๆ ในการเลือกใส่และดูแลรักษาเสื้อผ้าสีดำ

          เราเชื่อว่า สีเสื้อผ้าที่หนุ่ม ๆ ชอบใส่กันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น "สีดำ" เพราะเป็นสีที่ดูมีพลัง ลึกลับน่าค้นหา และเป็นสีพื้น ๆ ที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวเอง ซึ่งเมื่อลองย้อนกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเองดูแล้วคุณคงจะมีชุดสีดำ มากกว่าสีอื่น ๆ ใช่ไหมล่ะ ทว่าคุณทราบถึงวิธีการเลือกชุดมาสวมใส่และการ เก็บรักษาเสื้อผ้าดำกันรึเปล่าครับ? ถ้าไม่ทราบและอยากค้นหาคำตอบ งั้นมาดูกันเลยดีกว่าว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

 1. ผ้าขนแกะคือตัวเลือกอันดับต้น ๆ
          ข้อดีของผ้าขนแกะ นั้นจะทำให้ชุดสีดำที่คุณสวมใส่ ดูมีสีเข้มมากกว่าเนื้อผ้าแบบคอตต้อน อีกทั้งยังคงสภาพสีไว้ได้นานมากกว่า เมื่อนำไปซักหลาย ๆ ครั้ง โดยไม่ซีดเหมือนผ้าคอตต้อน หากว่าถ้าต้องลงทุนซื้อเสื้อผ้าดี ๆ เอาไว้ใส่ไปงานสักชุด ก็ให้เลือกแบบผ้าขนแกะดีกว่านะ

 2. เลือกสีเสื้อและกางเกงที่มีเฉดสีใกล้เคียงกัน
          สังเกตได้ว่า แม้คุณจะเลือกใส่เสื้อและกางเกงสีดำเหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว เมื่อมองดูดี ๆ จะพบว่าเฉดสีนั้นไม่เท่ากัน เช่น เสื้อสีดำเข้มมากกว่ากางเกง ทีนี้ก็จะทำให้ดูประหลาด ๆ ไปสักหน่อย หากเป็นไปได้ให้หาเสื้อและกางเกงที่มีเฉดสีเหมือนหรือใกล้เคียงกันมากที่ สุด

 3. มิกซ์ แอนด์ แมทช์ เนื้อผ้าเข้าด้วยกัน
          เนื้อผ้าที่เราสวมใส่กันนั้นมีหลายแบบให้เลือก แม้จะสวมทั้งเสื้อและกางเกงสีดำเหมือนกัน ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกแบบที่มีเนื้อผ้าชนิดเดียวกันก็ได้ เช่น ถ้าคุณสวมเสื้อสเวตเตอร์ตัวหนา กางเกงก็อาจเลือกเป็นกางเกงสแลคเนื้อผ้าบางเบาก็ได้ เพื่อให้ชุดของคุณดูมีมิติมากยิ่งขึ้น

 4. เลือกผ้าคอตต้อนที่มีคุณภาพดี
          เนื้อผ้าคอตต้อน แม้ว่าจะสวมใส่สบาย แต่ข้อเสียของมันคือ เมื่อผ่านการซักทำความสะอาดหรือตากแดดบ่อย ๆ สีของเสื้อจะดูซีดลงเรื่อย ๆ ไม่เข้มเหมือนก่อน แต่ก็มีเนื้อผ้าคอตต้อนจากเส้นใยสังเคราะห์บางชนิด ที่คงสภาพสีให้ดูเหมือนใหม่ได้ยาวนานกว่าปกติ ดังนั้น ก่อนซื้อควรพิจารณาถึงเนื้อผ้าด้วยเช่นกัน

 5. ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
          อย่างที่กล่าวไปว่า ชุดสีดำ เมื่อซักบ่อย ๆ สีจะเริ่มซีดมากขึ้นทุกครั้ง ดังนั้น วิธีการซักที่ช่วยให้สีคงสภาพเดิมได้นานขึ้น คือให้เติมน้ำส้มสายชูลงไปหนึ่งถ้วยในครั้งแรกที่ซักชุดดำชุดนั้น แล้วก็ใส่ผงซักฟอกซักตามปกติ เพราะน้ำส้มสายชูจะช่วยรักษาความเข้มของสีให้ยาวนานมากขึ้น และที่สำคัญให้ใช้น้ำเย็นซักผ้าเสมอกับเสื้อผ้าสีเข้ม

 6. เมื่อมันเก่าแล้วก็ทิ้งมันไปเถอะ
          แม้ว่าคุณจะพยายามดูแลรักษา เนื้อผ้าและสีของเสื้อมากขนาดไหน เมื่อกาลเวลาผ่านไป ยังไง๊ ไง มันก็ต้องมีวันเก่าอยู่ดี (เว้นเสียแต่ว่าคุณจะไม่หยิบมาใส่เลย) ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องปลดมันออกจากตู้เสื้อผ้า ก็ทำเถอะ จะนำไปบริจาคหรือทิ้งไปก็ได้ อย่าเสียดายเลย

          เป็นยังไงกันบ้าง กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทางกระปุกดอทคอมนำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ได้บ้างนะครับ หรือถ้าเพื่อน ๆ คนไหน มีเคล็ดลับเด็ด ๆ อยากจะแบ่งปันก็มาแชร์ความรู้กันได้นะครับ

Thursday, March 29, 2012

จะทำอย่างไรให้รักราบรื่น หากต้องอยู่ไกลจากคนรัก



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
          ไหน ใครที่จำเป็น จำใจ ที่ต้องอยู่ห่างไกลแฟนกันบ้างครับ? ไม่ว่าแฟนจะไปเที่ยว ไปเรียนต่อ หรือเป็นตัวคุณเองที่จำต้องห่างไกลกับแฟนผู้เป็นที่รัก เชื่อได้เลยว่าคงจะต้องเกิดความรู้สึกคิดถึง อยากเจอหน้า หรืออย่างน้อย ๆ ได้เสียงกันบ้างก็ยังดี เพราะยังไงซะ เรื่องของความเป็นห่วงเป็นใย ย่อมเกิดขึ้นอยู่ในความรู้สึกกันอยู่แล้ว และบางครั้งเจ้าความรู้สึกแบบนี้ ก็เป็นบ่อเกิดที่ทำให้คุณกับแฟนได้มีปากเสียงกันอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมาได้

          ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้การมีปากเสียงนั้นเกิดขึ้น เราจึงได้สรุปรวมเคล็ด (ไม่) ลับดี ๆ มาช่วยให้การห่างไกลกันไม่เป็นอุปสรรคกับคุณและแฟนอีกต่อไป อย่ามัวแต่เสียเวลาเลยครับ ไปดูกันว่าจะมีวิธีการอะไรบ้าง ตามด้านล่างนี้เลย..
 
1. ใช้เทคโนโลยีติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ

          เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว และก็มีช่องทางในการติดต่อสื่อสารมากมาย ดังนั้นอย่ามัวแต่บ่นโน่นนี่ให้เสียเวลา อยู่ไกลกัน ก็เห็นหน้ากันได้ด้วยการวิดีโอคอลหากัน  ซึ่งก็เลือกเอาได้เนื่องจากมีหลายช่องทางจริง ๆ ทั้ง MSN, Skype, Facebook และอื่น ๆ อีกสารพัด หรือใครที่มีไอโฟนก็ลอง "Facetime" หากันก็ได้ ซึ่งวิธีเหล่านี้นอกจากจะช่วยแก้อาการคิดถึงได้แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะเลยนะ จะบอกให้
 
2. อย่าได้ไปหึงเพื่อนผู้ชายของแฟนล่ะ

          เข้าใจว่าทำยาก แต่ช่วยทำหน่อยเหอะ เปิดใจกว้าง ๆ และเชื่อใจแฟนหน่อย เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน จะชาย จะหญิง จะเกย์หรือกระเทย จะทอมแอนด์เจอร์รี่ หรือไม่อย่างไร ก็คิดไว้ว่านั้นคือเพื่อนของแฟน มีอาการหวงบ้างเล็กน้อยยังพอว่า แต่ถ้ามากไปก็อย่าทำ เดี๋ยวแฟนจะหาว่าคุณคิดมากเกินจนเหตุไป ดีไม่ดีจะโกรธคุณ จนคุณต้องง้อเขาสุดชีวิตแทนน่ะ

  3. หากิจกรรมทำร่วมกัน

          ลองนัดหมายวันเวลาที่ว่างตรงกันมาเจอกันหน่อย แล้วไปหากิจกรรมทำร่วมกันจะได้ไม่เหงาหรือว้าเหว่ อาทิเช่น กินข้าว, ดูหนัง, ฟังเพลง, ช็อปปิ้ง, ไปเที่ยวต่างจังหวัด, ทำกิจกรรมท้าทายชีวิตอย่าง ล่องแก่ง ปีนเขา หรืออื่น ๆ ตามแต่จะนัดกัน แต่หากเป็นไปไม่ได้ เช่น แฟนอยู่ต่างประเทศ ก็ลองนัดเวลาคุยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ หรือใด ๆ ก็ได้ ก็จะช่วยได้อยู่เหมือนกัน
 
4. ใจคิดอะไรก็พูดไป

          เชื่อเถอะครับว่า หากคุณมีความในใจที่อยากจะบอกแฟนใจจะขาดแต่ไม่ยอมพูด หรือนิ่งเงียบปล่อยให้ผ่านเลยไป ไม่เป็นประโยชน์มาก ๆ แถมยังจะเป็นการทำร้ายสภาพจิตใจของตัวคุณเองด้วย พูดไปเถอะครับ อยากบอกอะไรเขาก็บอกไปเลย ไม่ต้องอายหรือเกรงใจ จะบอกรัก บอกคิดถึง แสดงความเป็นห่วงเป็นใย หรืออยากได้กำลังใจจากคนรักก็ขอให้บอกเขาไป อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้รับรู้ในสิ่งที่คุณนึกคิด และอาจจะช่วยคุณได้เป็นอีกดีอีกต่างหาก
 
5. เชื่อใจคนรัก และหนักแน่นต่อความรู้สึกนั้นเข้าไว้

          บางคนกังวลว่า พอห่างกันไปไกล ๆ นาน ๆ กาลเวลารวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ จะทำให้ความรู้สึกของคนรักเปลี่ยนไป บางคนกังวลหนักถึงขั้นระแวงมากเกินไป จนบางทีอาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจ และเป็นเหตุให้เกิดปากเสียงกันโดยใช่เหตุอีกด้วย ดังนั้นแล้ว ขอให้เชื่อใจคนรักเข้าไว้ เพราะถ้าคนเราคบกันไปโดยที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ต้องมานั่งคอยระแวงกันตลอดเวลา ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแฮปปี้สักเท่าไหร่นัก.. จริงไหม?
 
          ได้ รู้วิธีการดี ๆ แบบนี้แล้ว ใครที่จำต้องอยู่ห่างไกลแฟนก็ลองนำไปใช้ดูได้นะครับ กระปุกดอทคอมไม่สงวนลิขสิทธิ์หรือเก็บค่าใช้จ่ายนำไปใช้แต่อย่างใดนะคร้า บบบ..

10 วิธีง่าย ๆ ในการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

10 วิธีง่าย ๆ ในการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

           ทุกวันนี้คงต้องยอมรับว่าหนุ่ม ๆ หลายคน หันมาสนใจและดูแลตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งเหล่าผู้ผลิตสินค้าบำรุงผิวจำนวนมาก ต่างก็โฆษณาและบรรยายสรรพคุณผลิตภัณฑ์ของตัวเองว่าสามารถช่วยทำให้คุณดูเด็ก ขึ้นได้ทันใจ แต่ทว่า...ต้องแลกกับเงินในกระเป๋าจำนวนมาก ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดนั้น เพราะความจริงแล้วขั้นตอนการดูแลตัวเองให้ดูเยาว์วัยนั้นไม่ยากอย่างที่คิด วันนี้เราได้นำเคล็ดลับดี ๆ มาเผยให้ทราบกัน

 1. ดูแลฟันให้ขาวสะอาดอยู่เสมอ

           ลองหายาสีฟันที่มีส่วนผสมของไวท์เทนเนอร์ ซึ่งช่วยให้ฟันขาวขึ้นหรือลองปรึกษาทันตแพทย์เรื่องการดูแลรักษาฟัน เช่น การฟอกฟันขาว เพื่อทำให้รอยยิ้มของคุณกลับมาสดใส ขาวนวลชวนมองขึ้นอีกอย่างนึงคือ ให้ระมัดระวังเรื่องอาหารและเครื่องดื่มที่อาจทิ้งคราบไว้ที่ฟันของคุณ เช่น ชา กาแฟ เป็นต้น เป็นไปได้ควรแปรงฟันหลังทานอาหารทุกครั้งหรืออย่างน้อยตอนเช้าและก่อนนอน

 2. ใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์

           ผิวที่แห้งกร้านอันเนื่องมาจากสภาพผิวที่ขาดการบำรุง ย่อมทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นไวก่อนเวลาอันควร ดังนั้นควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์มาทา ซึ่งไม่ใช่แค่ใบหน้าเพียงอย่างเดียว บริเวณรอบดวงตา มือและเรือนร่างก็ต้องการ ๆ ดูแลเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือ ที่เราใช้งานค่อนข้างมากในชีวิตประจำวัน ดังนั้นให้พกครีมทามือไว้ที่โต๊ะทำงานหรืออ่างล้างมือติดเอาไว้

 3. ทาครีมกันแดดเสมอ

           เราต่างทราบกันดีว่ารังสียูวีจากดวงอาทิตย์นั้นเป็นตัวทำลายผิวของเราได้ มากที่สุด ซึ่งหลาย ๆ คน ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าต่อแสงแดดได้ ฉะนั้นใช้ครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพื่อปกป้องผิวให้ได้รับความเสียหายน้อยที่สุดจากการโดนแดดแผดเผา

  4. ดูแลคิ้วสักนิด

           อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมผู้ชายต้องกันคิ้วด้วย คุณไม่จำเป็นต้องดูแลให้เนี้ยบเหมือนกับผู้หญิงหรอกนะ เอาเฉพาะแค่บริเวณหว่างคิ้วไม่ให้มันขึ้นดกซะจนดูเหมือนคิ้วผูกโบว์ติดกันก็ พอ

 5. เลิกไว้หนวดเครา

           อาจจะลำบากใจเล็กน้อยสำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชอบไว้หนวดเคราทั้งหลาย แต่รู้ไหมว่าใบหน้าที่เกลี้ยงเกลานั้นทำให้คุณดูหนุ่มขึ้นเยอะเลยนะ ไม่เชื่อลองโกนออกสิ แล้วจะพบว่าตัวเองกลับมาดูสดใสขึ้นอีกครั้ง

 6. ระวังขนจมูกโผล่แพลมออกมา

           เมื่ออายุมากขึ้นขนจมูกจะเริ่มยาวโผล่ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งคงไม่ดีแน่ถ้ามีคนยืนคุยกับคุณแต่สายตาเขากลับมาจับจ้องที่จมูกแทน เอาเป็นว่าคอยสอดส่องดูแล หากเมื่อไหร่ที่เริ่มโผล่ออกมาก็ค่อย ๆ เล็มออกซะ

 7. สวมเสื้อผ้าสีสัน

           ลองหาเสื้อผ้าสีสันสดใสมาใส่กระชากวัยกันหน่อยดีกว่า เพราะสีของมันจะช่วยให้บุคลิกของคุณดูเจิดจรัสขึ้นได้เยอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูกาลเทศะด้วยเช่นกันว่าเหมาะสมรึเปล่า ไม่ใช่นึกจะใส่ก็ใส่ อันนี้ก็คงไม่ดีเท่าไหร่นะ

 8. อย่าปล่อยให้ใต้ตาดำคล้ำ

           ใต้ตาคล้ำ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอหรือกรรมพันธุ์ก็ดี วิธีป้องกันคือพยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ แต่ถ้าหากเจ้ารอยคล้ำนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ให้หารองพื้นสำหรับผู้ชายมาทาปกปิดจะดีกว่า ปล่อยให้ใต้ตาดำเหมือนนกฮูกบ่อย ๆ คงไม่ดีแน่

 9. ถอดแว่นสายตาออกดีกว่า

           ลองเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์ดูดีกว่านะ เพราะมันจะเปลี่ยนลุคของคุณจากหนุ่มเนิร์ด สุดเฉิ่มมาเป็นหนุ่มหล่อสมาร์ทแทนน่ะสิ

 10. ออกกำลังกายเป็นประจำ

           วิธีที่แสนง่ายและได้ผลดีที่สุดคือ การออกกำลังกาย แค่ออกไปวิ่งหรือเล่นกีฬาที่คุณชื่นชอบ เผาผลาญพลังงาน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วยนะ ลองสังเกตคนที่ออกกำลังเป็นประจำสิ แม้จะอายุมากแล้ว แต่ยังดูฟิตปั๋งอยู่เลย

           เป็นยังไงบ้าง ไม่ยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหมครับ เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้เอง โดยไม่ต้องเข้าคลีนิคหรือใช้ผลิตภัณฑ์แพง ๆ เลย แค่รู้จักใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น เพียงเท่านี้ คุณก็จะดูเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวอยู่ตลอดเวลาแล้ว

9 เหตุผลบอกเลิกสุดฮิต...เคยโดนกันบ้างไหม

ความรัก



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ยามรักกันคงจะไม่มีคู่รักคู่ไหนจะจินตนาการถึงวันที่ความรักของตัวเองต้อง สิ้นสุดลงแน่นอน (จริงไหม) แต่ทุกอย่างก็ล้วนไม่มีอะไรแน่นอน เรื่องความรักเองก็ด้วย เพราะวันใดวันหนึ่งมันอาจจะจบลงได้ ว่าแต่จะจบสวยหรือไม่สวยต้องดูสถานการณ์ในตอนนั้นอีกที บวกกับเหตุผลที่ใช้ในการบอกเลิกด้วย

          และเมื่อพูดถึงสิ่งที่คนยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการเลิกกัน นับไปนับมาก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง จะบอกตรง ๆ ว่า "ผมไม่รักคุณแล้ว" ก็ฟังดูโหดร้ายเกินไปหน่อย ถ้าอย่างนั้นลองมาดูกันดีกว่าว่า เหตุผลสุดฮิตที่ถูกใช้เพื่อบอกเลิกกันนั้นมีอะไรบ้าง รวมทั้งคุณเคยฟังหรือเคยใช้มันกันมาบ้างหรือเปล่า!!

      1. คุณควรจะได้เจอใครที่ดีกว่านี้

          มันก็อาจจะจริง ที่อยู่ ๆ ก็รู้รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยไม่คู่ควรกับเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาน่าจะได้ไปเจอใครที่ดีกว่านี้...ฟังดูหวังดี แต่นั่นมันคือสิ่งที่ "เรา" ต้องตัดสินใจด้วยกันก่อนไม่ใช่หรือไง?

      2. ผมรักคุณมากเกินไป

          ตอนนี้ก็รักคุณมากขนาดนี้แล้ว กลัวจริง ๆ ว่าหากยังรักคุณมากต่อไป ผมจะไม่เป็นตัวของตัวเอง (ถ้าอย่างนั้นตลอดชีวิตนี้จะรักใครจริง ๆ จัง ๆ ได้สักทีไหมเนี่ย)

      3. ผมนอกใจคุณ

          ฟังแล้วเจ็บที่ใจจนมันชาไปหมด แต่ก็ขอบคุณนะที่อย่างน้อยก็กล้าพอที่จะบอกความจริง และยอมให้ตัวเองสวมบทคนไม่ดีไป เพราะเลิกรากันตอนนี้ดีกว่าฝืนยื้อให้เจ็บปวดไปเรื่อย ๆ

      4. เราเข้ากันไม่ได้

          นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คู่รักหลายคู่ตัดสินใจจบความรักของตัวเองลง แม้บางคู่จะคบกันมายาวนานนับสิบปีก็ตาม อารมณ์เหมือนว่ายิ่งได้ใกล้ชิด ยิ่งได้เรียนรู้ ก็ทำให้รู้ว่าทั้งรสนิยม ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ ไม่เหมือนกันสักนิดเลย (ทั้ง ๆ ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ยังอยู่ด้วยกันได้) ในที่สุดก็เลยต้องบอกลากันไป เพราะว่า "เราเข้ากันไม่ได้" นั่นเอง (ซึ่งบางทีอีกฝ่ายก็คิดว่า ทำไมฉันไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลยนะ)

      5. ผมอยากมีเวลาและพื้นที่ให้ตัวเองบ้าง

          บางคู่ก็มีปัญหาที่ว่าใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยกันมากเกิน จนใครสักคนรู้สึกว่าไม่มีช่องว่างและเวลา ให้ได้คิดหรือทำอะไรกับตัวเองบ้างเลย เรื่องแบบนี้ก็ทำให้เหนื่อยใจจนทนไม่ได้เหมือนกันนะ เราหยุดแค่นี้ก่อนดีไหม ขอเวลากับพื้นที่ให้ผมบ้าง (และแน่นอน รีแอคชั่นที่ได้กลับมาก็จะเป็น "อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ฉันจะให้เวลาให้พื้นที่ส่วนตัวกับคุณ แต่ขอร้องเถอะอย่างเลิกกันเลยนะ")

      6. ขอโทษนะ แต่ผมชอบผู้ชาย!

          ใครได้ฟังแบบนี้รับรองต้องช็อก ก็คบกันมาตั้งนาน จู่ ๆ ดันเข้ามาบอกว่า "ผมชอบผู้ชาย" อย่างนี้ก็เป็นอันหงายเงิบไปตาม ๆ กัน แต่ก็นะ...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ รั้งจะคบกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา

      7. เรารักกันเร็วเกินไป หยุดไว้แค่นี้ดีกว่า

          บางทีการรู้จักกัน และพัฒนาเป็นความรักที่เร็วแบบไม่ทันตั้งตัว อย่างรู้จักกันไม่ทันไรก็เข้าบ้านกันและกัน พาไปเปิดตัวกับพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ฯลฯ แบบนี้ทำให้คนที่ยังไม่พร้อมจะเริ่มความสัมพันธ์ที่จริงจังสับเกียร์ถอยหลัง ได้

      8. ผมอยากจะค้นหาตัวเอง

          นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับคู่รักที่รู้จักและคบกันมานาน จนเริ่มคิดแทนตัวด้วยความว่า "เรา" มากกว่าที่จะเป็น "ผม" หรือ "ฉัน" ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ ที่จะใกล้ชิดกับใครสักคน แต่กลับหลงลืมความสำคัญของตัวเองไป จึงขอหยุดความสันพันธ์เอาไว้ และขอไปเป็นตัวของตัวเองดีกว่า

      9. ผมอยากโฟกัสกับงานมากกว่า

          ฟังแล้วมันเจ็บปวกนักล่ะ ที่คน (เคย) รัก (กัน) กลับบอกว่าขอเลือกงานแทนที่จะเลือกคุณ ให้ความรู้สึกอย่างกับกลายเป็นตัวถ่วงความก้าวหน้าของอีกฝ่ายยังไงบอกไม่ถูก


          แต่ ละคำฟังดูก็ไม่ได้แรงเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่าฟังยังไงมันก็ยังเจ็บ :'(  .. ว่าแต่คุณล่ะ เคยได้ฟัง หรือ เคยได้พูด คำพวกนี้กันมาบ้างหรือเปล่า

Wednesday, March 28, 2012

เผยผู้ชายชอบกินสเต๊ก มีเชื้ออสุจิเชื่องช้า

สเต๊ก

เผยผู้ชายชอบกินสเต๊ก มีเชื้ออสุจิเชื่องช้า (ไทยโพสต์)


         งานวิจัยชี้ผู้ชายที่กินสเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ และครีมที่มีไขมันสูง จะมีน้ำเชื้อด้อยคุณภาพ ลดโอกาสได้เป็นพ่อคน ขณะที่การกินผักผลไม้ทำให้สเปิร์มแหวกว่ายได้ว่องไว

         นักวิทยาศาสตร์ในสเปนพบว่า การกินอาหารที่มีสานต่อต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักผลไม้ โดยเฉพาะพริกไทย ส้ม มะนาว และผักโขม ทำให้สเปิร์มมีคุณภาพดี สารต้านอนุมูลอิสระทำหน้าที่ชะลอ หรือยับยั้งปฏิกิริยาการรวมตัวของโมเลกุลต่าง ๆ กับออกซิเจนในร่างกาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจำนวนเชื้ออสุจิ และความเร็วในการเคลื่อนที่ของเซลล์สืบพันธุ์เหล่านี้

         ผู้ชายที่กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ และชอบกินพวกเนื้อและผลิตภัณฑ์นมเนยที่มีไขมัน จะมีสเปิร์มจำนวนน้อย และแหวกว่ายได้ช้า

         หัวหน้าทีมวิจัย ไคเม เมนดิโอลา แห่งมหาวิทยาลัยเมอร์เซีย ประเทศสเปน บอกว่าอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงช่วยให้ไม่เจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เชื้อมีคุณภาพดีด้วย ผู้ชายที่กินเนื้อและผลิตภัณฑ์นมเนยที่มีไขมันเป็นจำนวนมาก จะมีสเปิร์มที่มีคุณภาพด้อยกว่าคนที่กินผักผลไม้และนมเนยไขมันต่ำ คนที่กินผักผลไม้เยอะ ๆ จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ

         นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลา 4 ปี ศึกษาผู้ชายในคลินิกด้านการเจริญพันธุ์หลายแห่งในสเปนเพื่อดูว่า อาหารหรือมลพิษส่งผลให้มีบุตรยากหรือไม่ "เรา พบว่าผู้ชายที่มีเชื้อแข็งแรงมักกินผักผลไม้จำนวนมาก ซึ่งทำให้ได้รับวิตามิน กรดโฟลิก ใยอาหาร จำนวนมาก แต่ได้รับโปรตีนและไขมันต่ำ ขณะที่ผู้ชายที่มีน้ำเชื้อด้อยคุณภาพ จะกินผักผลไม้น้อยกว่า"

         ในการวิจัยครั้งต่อไปเขาจะศึกษาว่า ผู้ชายที่ได้รับวิตามินจากการกินอาหารเทียบกับการได้รับจากการกินวิตามิน เม็ด ผลจะแตกต่างกันหรือไม่ งานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาผู้ชาย 61 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี 30 คนที่มีปัญหามีลูกยาก และอีก 31 คนไม่มีปัญหานี้ ผลวิจัยได้ตีพิมพ์ในวารสาร Fertility and Sterility